25 พฤศจิกายน 2025 จีนปล่อยยาน Shenzhou-22 เดินทางไปยังสถานีอวกาศ Tiangong เพียงแค่ 13 วันหลังจากที่เพิ่งปล่อยยาน Shenzhou-21 พร้อมลูกเรือกลุ่มใหม่ สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะจีนได้เผชิญกับเหตุการณ์ที่นำไปสู่การส่งยานกู้ภัยครั้งแรก หลังจากที่ Tiangong ได้เป็นบ้านให้กับนักบินอวกาศจีนมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2021 จนนำไปสู่บทพิสูจน์ที่บอกว่าจีนนั้นรับมือกับเหตุฉุกเฉินได้อย่างมืออาชีพมาก ๆ
ย้อนกลับไปช่วงต้นปี 2025 ภารกิจ Shenzhou-20 ถูกปล่อยขึ้นเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2025 พร้อมลูกเรือ Chen Dong, Chen Zhongrui และ Wang Jie เดินทางไปยังสถานี Tiangong เพื่อหมุนเวียนลูกเรือประจำหกเดือน ทุกอย่างดูเรียบร้อยตามแผน ความต่อเนื่องของภารกิจมนุษย์อวกาศจีนก็เป็นไปอย่างที่โลกคุ้นชิน ปล่อยตามจังหวะที่วางไว้, ทำงานทดลอง, รับส่งเสบียง, เตรียมยานกลับโลก, และรอภารกิจถัดไปที่จะมา Dock ตามรอบเวลา ไม่ต่างจากการหมุนเวียนลูกเรือของ สถานีอวกาศนานาชาติ ในแต่ละปี
กระทั่งวันที่ 31 ตุลาคม 2025 เมื่อ Shenzhou-21 เดินทางขึ้นมา Dock กับ Tiangong พร้อมลูกเรือใหม่ Zhang Lu, Wu Fei และ Zhang Hongzhang จำนวนคนบนสถานีเพิ่มขึ้นชั่วคราวเป็นหกคนในช่วงส่งมอบงาน ซึ่งเป็นขั้นตอนปกติที่สถานีอวกาศยุคใหม่ใช้มานาน
ยานถูกชนโดยขยะอวกาศ ส่งผลให้ไม่สามารถใช้งานได้
ปัญหาปรากฏขึ้นวันที่ 5 พฤศจิกายน 2025 ระหว่างการตรวจสภาพยาน Shenzhou-20 ก่อนออกเดินทางกลับโลก เมื่อลูกเรือพบว่า กระจกชั้นนอกของหน้าต่างยานมีรอยแตกขนาดเล็กแต่ลึก จากการปะทะของ Micrometeoroid หรือชิ้นส่วนขยะอวกาศที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ในเชิงวิศวกรรม กระจกหน้าต่างยานอวกาศมีหลายชั้น แต่ละชั้นมีหน้าที่ต่างกัน ชั้นนอกสุดเอาไว้รับแรงกระแทก ชั้นกลางช่วยเสริมความแข็งแรง และชั้นในสุดคือเกราะที่ต้องทนทั้งแรงดัน, ความต่างอุณหภูมิ และพลาสมาร้อนที่เกิดตอน Reentry ปัญหาของ Shenzhou-20 คือความเสียหายทะลุชั้นนอก ทำให้ชั้นในที่ยังอยู่ไม่สามารถรับภาระความร้อนระดับหลายพันองศาเมื่อกลับเข้าสู่บรรยากาศโลกได้ตามมาตรฐานความปลอดภัยอีกต่อไป China delays Shenzhou-20 crew return after suspected space debris impact
สำหรับวงการอวกาศ มันคือสัญญาณอันตรายระดับสุด การมีรอยแตกแม้เพียงหนึ่งรอยบนโครงสร้างที่ต้องเผชิญ Reentry ทำให้มันไม่ควรถูกใช้พานักบินกลับโลกอีกต่อไป เพราะการผิดพลาดแม้เพียงไม่กี่มิลลิวินาทีอาจหมายถึงการเสียชีวิตทั้งยาน ดังนั้น Shenzhou-20 จึงถูกตัดสินให้ไม่สามารถถูกใช้งานได้ ส่งผลให้ระบบหมุนเวียนลูกเรือที่ดูเหมือนจะเป็นกิจวัตรของ Tiangong ต้องเข้าสู่โหมดวิกฤตอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทั้งหมดนี้คือบทนำของเหตุการณ์ที่ทำให้จีนต้องตัดสินใจสร้าง “Launch-On-Need” ครั้งแรกของประเทศระบบที่ออกแบบมาเพื่อใช้ในวันพิเศษอย่างวันที่วันนี้มาถึงจริง ๆ วันซึ่งยานกลับโลกที่ควรปลอดภัยที่สุดกลับเป็นฝ่ายที่ต้องการความช่วยเหลือแทน

เมื่อ Shenzhou-20 ถูกประกาศว่าไม่ปลอดภัยต่อการกลับโลก คำถามเชิงวิศวกรรมที่จีนต้องตอบทันทีคือ “แล้วจะพาลูกเรือทั้งสามคนกลับบ้านอย่างไรโดยไม่เสี่ยงชีวิต” เพราะในทางปฏิบัติ ยานแต่ละลำที่ Dock อยู่กับสถานีไม่ได้มีแค่บทบาทเป็นพาหนะกลับโลกเท่านั้น แต่มันคือ Crew Return Vehicle ที่ต้องพร้อมใช้งานทุกวินาทีในกรณีฉุกเฉิน เช่น ไฟไหม้ รั่วไหลของแอมโมเนีย การสูญเสียแรงดัน หรือการชนของวัตถุอื่น ๆ ดังนั้นการมี “ยานกลับโลกที่ใช้งานไม่ได้หนึ่งลำ” เทียบได้กับ “มีประตูหนีไฟที่เปิดไม่ได้หนึ่งบานในอาคารสูง” ซึ่งในวงการมนุษย์อวกาศถือว่าอันตรายอย่างไม่อาจยอมรับได้
จีนจึงเลือกแนวทางที่ตรงไปตรงมาและปลอดภัยที่สุด นั่นคือ ให้ลูกเรือ Shenzhou-20 ทั้งสามคนกลับโลกด้วยยาน Shenzhou-21 ที่เพิ่งเดินทางมาถึง เพราะยานใหม่ย่อมปลอดภัยกว่า สภาพใช้งานสมบูรณ์กว่า และยังอยู่ในกรอบอายุการใช้งานเต็มที่ การตัดสินใจนี้สะท้อนหลักคิดเดียวกับมาตรฐานสถานีอวกาศนานาชาติ ที่กำหนดไว้อย่างชัดเจนว่า “ลูกเรือต้องมีที่นั่งกลับโลกที่พร้อมใช้งานเสมอทุกคน ทุกนาที” ซึ่งเป็นกฎทองที่ใช้มาตั้งแต่ยุค Shuttle และ Soyuz จนถึง Dragon ในปัจจุบัน
ลูกเรือชุดเก่าต้องเดินทางกลับโลกด้วยยานลำใหม่
การสลับยานเกิดขึ้นวันที่ 14 พฤศจิกายน 2025 ลูกเรือ Shenzhou-20 ได้แก่ Chen Dong, Chen Zhongrui และ Wang Jie ลงนั่งในยาน Shenzhou-21 แทนยานเดิมของตัวเอง แล้วแยกตัวออกจากสถานีเพื่อกลับลงสู่มองโกเลียในหลังใช้เวลาในอวกาศยาวนานถึง 204 วัน ซึ่งถือเป็นภารกิจระยะยาวที่สุดอันดับต้น ๆ เท่าที่จีนเคยทำมา ระยะเวลานี้ไม่ใช่แค่ตัวเลขสถิติ แต่สะท้อนระบบวิศวกรรมของ Tiangong ที่เริ่มเข้าสู่ยุคปฏิบัติการแบบต่อเนื่อง เหมือนสถานีอวกาศนานาชาติ ที่เคยผ่านช่วงเวลาที่มีลูกเรือใช้ชีวิตบนสถานีต่อเนื่องมากกว่า 20 ปีโดยไม่ขาดตอน

แต่ในขณะที่ภารกิจกู้ภัยของ Shenzhou-20 ประสบความสำเร็จ และลูกเรือกลับโลกอย่างปลอดภัย ปัญหาใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมก็เกิดขึ้นทันทีที่ Shenzhou-21 แยกตัวออกไป ลูกเรือ Shenzhou-21 ทั้งสามคนที่เพิ่งขึ้นมารับช่วงงานไม่มี “ยานสำรองกลับโลก” เหลืออยู่เลย เพราะยานที่ยัง Dock อยู่คือ Shenzhou-20 ที่ถูกชิ้นส่วนขยะอวกาศชนและไม่ปลอดภัยต่อการใช้ Reentry อีกต่อไป
สถานการณ์นี้คือ “ช่องว่างความปลอดภัย” ที่น่ากลัวที่สุด การไม่มี Crew Return Vehicle หมายถึงว่าถ้าสถานีเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นแม้แต่เล็กน้อย เช่น ความดันตกเฉียบพลัน หรือไฟไหม้ในโมดูลหลัก ลูกเรือจะไม่สามารถอพยพออกจากสถานีได้ทันเวลา และนั่นไม่ใช่ความเสี่ยงที่ระบบ Human Spaceflight ใดบนโลกจะยอมรับได้เลย นี่คือจุดที่ภารกิจระดับ “กู้ภัยย่อย” กลายเป็น “กู้ภัยใหญ่” เพราะการพาลูกเรือ Shenzhou-20 กลับโลกได้สำเร็จเป็นเพียงครึ่งแรกของปัญหา ครึ่งหลังซึ่งยากกว่า คือการทำให้สถานีมี “ยานหนีฉุกเฉิน” สำหรับลูกเรือที่ยังอยู่บนวงโคจรให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และนี่คือจุดที่จีนต้องเปิดใช้ระบบที่ไม่เคยใช้มาก่อน นั่นคือการเตรียมยานใหม่ทั้งลำและปล่อยขึ้นไปในระยะเวลาเพียงไม่กี่วันเรียกว่า Launch-On-Need
จีนใช้เวลาเพียงหลักวันในการเตรียมยานให้พร้อมปล่อย
หลังลูกเรือ Shenzhou-20 แยกตัวกลับโลกวันที่ 14 พฤศจิกายน 2025 นาฬิกานับถอยหลังของระบบความปลอดภัยเริ่มต้นทันที เพราะ Shenzhou-21 ที่พานักบินกลุ่มใหม่ขึ้นมาไม่มีคู่กลับโลกอีกต่อไป สิ่งที่ต้องทำมีสองอย่างพร้อมกัน อย่างแรกคือเตรียมยาน Shenzhou-22 ให้พร้อมปล่อยโดยเร็วที่สุด อย่างที่สองคือ Config ระบบภายใน Long March 2F ให้สอดคล้องกับการปล่อยภารกิจแบบเร่งด่วน
แม้ Shenzhou และจรวด Long March 2F จะถูกผลิตล่วงหน้าเป็นชุด ๆ เพื่อให้วงจรการปล่อยเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ แต่การข้ามคิว, ข้ามการตรวจ, และเร่งขั้นตอน Integration ภายในไม่กี่วันคือการทดสอบระบบตั้งแต่ระดับโรงงานถึงระดับ Mission Control แบบเต็มตัว จีนใช้เวลาเพียงเก้าวัน ในการเตรียมทุกอย่างที่ปกติต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 6–8 สัปดาห์ และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ภารกิจนี้เป็น Launch-On-Need ที่เร็วที่สุดครั้งหนึ่งในโลก

25 พฤศจิกายน 2025 ยาน Shenzhou-22 ถูกปล่อยขึ้นสู่วงโคจร เวลา 12:11 ตามเวลาปักกิ่ง Long March 2F ยกตัวพร้อมยาน Shenzhou-22 จากศูนย์ปล่อย Jiuquan ในทะเลทรายโกบี ภารกิจนี้ไม่มีนักบินอวกาศ แต่ทุกองค์ประกอบถูกเปิดใช้งานเหมือนภารกิจมีลูกเรือเต็มรูปแบบ เพื่อให้ยานพร้อมใช้งานเป็น Crew Return Vehicle ทันทีที่ Dock กับ Tiangong
หลังออกจากฐานปล่อย Shenzhou-22 ใช้โปรไฟล์การบินแบบ Fast-Rendezvous เทียบเคียงกับเทคนิคที่สถานีอวกาศนานาชาติใช้บ่อยในยุคหลัง เพื่อให้ยานเข้า Dock เร็วที่สุดและคืนความปลอดภัยให้ลูกเรือบนสถานีโดยเร็วที่สุด ภายในเวลาเพียง 4 ชั่วโมงครึ่งยาน Dock กับโมดูลของ Tiangong แบบ Autonomous โดยไม่มีมนุษย์ควบคุม ซึ่งเป็นการพิสูจน์ว่าระบบ Autonomy ของจีนพร้อมใช้งานในภาวะวิกฤตจริง ไม่ใช่แค่การทดสอบในภารกิจปกติ สำคัญกว่านั้นคือทันทีที่ Shenzhou-22 Dock สำเร็จ ระบบความปลอดภัยของสถานีถูก “ยกกลับสู่ระดับปกติ” ลูกเรือทั้งสามคนของ Shenzhou-21 มีที่นั่งกลับโลกอีกครั้ง และหน่วยควบคุมภาคพื้นดินไม่ต้องเฝ้าสถานีในโหมดความเสี่ยงสูงอีกต่อไป

ความเร็วในการตอบสนองของ Shenzhou-22 ส่งสัญญาณถึงสองเรื่องใหญ่ที่โลกต้องยอมรับอย่างเลี่ยงไม่ได้ จีนมีความสามารถทำ Launch-On-Need ได้จริง ไม่ใช่แค่บนเอกสาร แต่วางระบบจนสามารถปฏิบัติจริงในเวลาไม่ถึงสิบวัน และที่สำคัญคือ ระบบเที่ยวบินมนุษย์ของจีนเข้าสู่ระดับ Operational Maturity คือประสบการณ์ระดับที่สหรัฐและรัสเซียเพิ่งมีในช่วงปลายศตวรรษที่แล้ว ไม่ใช่แค่ส่งมนุษย์ขึ้นไปได้ แต่แก้ปัญหาฉุกเฉินในสเกลสถานีอวกาศได้จริง Shenzhou-22 docks at Tiangong space station, resolving human spaceflight emergency
นี่คือ Milestone ใหญ่ที่สะท้อนว่า Tiangong ไม่ใช่โครงการทดลองอีกต่อไป แต่เป็น “สถานีอวกาศระดับปฏิบัติการ” ที่ต้องรับมือกับปัญหาระดับโลกเหมือนที่ สถานีอวกาศนานาชาติ เคยเผชิญ ทั้งปัญหาจากอวกาศเอง ทั้งความเปราะบางของยาน และความเสี่ยงที่มนุษย์บนวงโคจรจะตกอยู่ในภาวะขาดยานหนีฉุกเฉิน
ย้อนรอยประสบการณ์ของรัสเซียในการส่งยานด่วน
กรณี MS-09 ในปี 2018 เป็นเหตุการณ์ที่หลายคนอาจจำได้ ลูกเรือพบการสูญเสียความดันในสถานีฯ และตรวจพบว่ามี รูเล็กระดับมิลลิเมตร บนยาน Soyuz ครึ่งที่ Dock อยู่กับสถานี แม้สุดท้ายข้อสรุปชี้ไปที่ข้อผิดพลาดระหว่างการผลิต ไม่ใช่ขยะอวกาศ แต่เหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นสิ่งสำคัญมากคือ แม้ความเสียหายจะเล็กจนแทบมองไม่เห็น แต่ผลกระทบต่อความปลอดภัยของยานมนุษย์คือระดับวิกฤตทันที รัสเซียต้องรีบอุดรู, ตรวจความดันซ้ำ และประเมินว่ายานสามารถใช้งานได้หรือไม่ ซึ่งเป็นความตึงเครียดที่ไม่มีประเทศไหนอยากเจอในขณะที่ลูกเรือยังอยู่บนวงโคจร อย่างไรก็ตามยาน Soyuz MS-09 นั้นสามารถพาลูกเรือกลับโลกได้ เพราะส่วนที่เสียหายจำเป็นจะต้องถูกทิ้งก่อนกลับโลกอยู่แล้ว
กรณีที่ใกล้กับ Shenzhou-20 มากที่สุดคือเหตุการณ์ในปลายปี 2022 เมื่อยาน Soyuz MS-22 ที่ Dock อยู่กับสถานีอวกาศนานาชาติ เกิด Coolant Leak อย่างรุนแรงจนมีน้ำยาหล่อเย็นพ่นออกสู่อวกาศเป็นแก๊สสีขาวยาวหลายเมตร สาเหตุสุดท้ายถูกระบุว่าเกิดจาก Micrometeoroid หรือ Debris ชน Heat Exchanger ของระบบหล่อเย็นโดยตรง
ระบบหล่อเย็นคือหัวใจของการควบคุมอุณหภูมิของแคปซูลขณะกลับโลก และเมื่อมันเสียหายยานจะไม่สามารถพาลูกเรือกลับโลกได้อย่างปลอดภัย รัสเซียจึงตัดสินใจแบบเดียวกับจีนในปี 2025 ไม่ให้ลูกเรือกลับในยานที่เสียหาย แล้วเลือก ปล่อย Soyuz MS-23 ขึ้นไปแทนเพื่อใช้เป็นยานกลับโลกลำใหม่ นั่นคือ “Launch-On-Need” ฉบับรัสเซียที่เกิดขึ้นจริงและเป็นครั้งแรกในยุคสถานีอวกาศนานาชาติ และทำให้โลกเห็นว่าความเสี่ยงจาก Debris ไม่ได้เกิดขึ้นกับแต่ละประเทศ มันเกิดกับทุกประเทศได้
ขณะเดียวกัน โลกต้องยอมรับว่าการควบคุม Debris Proliferation จะกลายเป็นเรื่องความมั่นคงของมนุษยชาติ ไม่ใช่แค่เรื่องความเป็นระเบียบของวงโคจร เพราะวันนี้ Debris ชนยานมนุษย์แล้วและในอนาคตมันอาจชนบ่อยกว่านี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อดาวเทียมใน LEO เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนั่นเอง
เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co