สรุปกิจกรรมในวงการอวกาศไทยปี 2025 อวกาศก็แค่หน้าปากซอย

อวกาศก็แค่หน้าปากซอย คำคำนี้คงไม่เกิดจริงมากนักหากจะให้นิยามกิจกรรมในวงการอวกาศไทยปี 2025 เนื่องจากในปีนี้เรามีทั้งการปล่อยดาวเทียมขึ้นสู่อวกาศ การนำส่งชุดการทดลองขึ้นสู่สถานีอวกาศนานาชาติ แม้กระทั่งไก่ไทยก็ได้เดินทางไปอวกาศ ครบครันทั้งของเปียกของแห้ง ตลอดจนไปถึงการได้รับคัดเลือกในโครงการอวกาศระดับนานาชาติ และยานอวกาศที่ต่อคิวเดินทางขึ้นสู่อวกาศมากที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา บทความนี้จะพามาเจาะลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวงการอวกาศไทยในปี 2025 ว่านี่คืออีกหนึ่งปีที่สำคัญในวงการอวกาศไทย

หลังจากที่ปีที่แล้ว เราได้รายงานปี 2024 ไปในบทความ สรุปกิจกรรมในวงการอวกาศไทย 2024 เมื่อไทยหันร่วมมือสำรวจอวกาศกับจีนมากขึ้น ปีนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นการสานต่อจากสิ่งที่เราเคยทำเอาไว้ในปีก่อน และเนื้อหาบางอย่างอาจมีการพูดย้อนกลับไปถึงโครงการต่าง ๆ ที่มีจุดเริ่มต้นในปีที่แล้วหรือในหลายปีก่อน ไม่ว่าจะเป็นโครงการอย่าง Thai Space Consortium หรือความร่วมมือกับโครงการ International Lunar Research Station ที่มีความคืบหน้าขึ้นอย่างมาก

EOS Orbit ประสบความสำเร็จกับดาวเทียม LOGSATS-2

เริ่มต้นปีด้วยเรื่องราวจากบริษัทอวกาศเอกชน EOS Orbit บริษัทอวกาศสัญชาติไทยหน้าใหม่ที่เริ่มต้นด้วยการพัฒนาดาวเทียม LOGSATS ดวงแรกซึ่งเป็นดาวเทียมให้บริการสัญญาณ LoRa สำหรับอุปกรณ์ IoT และปล่อยขึ้นสู่อวกาศในภารกิจ Transporter-9 ด้วยจรวด Falcon 9 ไปในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2023 อย่างไรก็ดี ตัวดาวเทียม LOGSAT รุ่นแรกประสบปัญหาในการแยกตัวจากยานแม่ Ion ของบริษัท D-Orbit ทำให้ EOS Orbit ต้องเสียดาวเทียมดวงดังกล่าวไปอย่างน่าเสียดาย

เจ้าหน้าที่จากทีม EOS Orbit ขณะกำลังติดตั้งตัวดาวเทียมเข้ากับตัวยาน Ion ของบริษัท D-Orbit ที่มา – EOS Orbit
เจ้าหน้าที่ขณะติดตั้งดาวเทียม LOGSATS-2 เข้ากับระบบปล่อยดาวเทียม ที่มา – EOS Orbit

ล่าสุดในวันที่ 14 มกราคม 2025 ในภารกิจ Transporter-12 ของ SpaceX จรวด Falcon 9 ได้ประสบความสำเร็จในการนำส่งดาวเทียมจำนวนกว่า 131 ดวง จากฐานปล่อย Vandenberg Space Force Base ในแคลิฟอร์เนีย หนึ่งในนั้นคือดาวเทียม LOGSATS-2 ดาวเทียมดวงที่สองของบริษัท EOS Orbit รอบนี้ตัวดาวเทียมสามารถแยกตัวออกจากตัวยาน Ion ได้อย่างประสบความสำเร็จ ก่อนที่ในวันที่ 25 มกราคม 2025 ทีมภาคพื้นดินได้ประสบความสำเร็จในการติดต่อกับตัวดาวเทียมได้สำเร็จ

จรวด Falcon 9 บินขึ้นจากฐานปล่อยใน Vandenberg Space Force Base นำส่งดาวเทียม 131 ดวง ที่มา – SpaceX

ความสำเร็จของ EOS Orbit ในเที่ยวบินดังกล่าวนำมาซึ่งความมั่นใจในการเป็นผู้ออกแบบผลิตและใช้งานดาวเทียมขนาดเล็ก ซึ่งล่าสุดแหล่งข่าวรายงานว่า EOS Orbit มีแผนพัฒนาดาวเทียมดวงต่อไป ซึ่งจะมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นและใช้วงโคจรแบบ Low Earth Orbit แนวเส้นศูนย์สูตรหรือ Equatorial ซึ่งรายละเอียดเพิ่มเติมต้องรอประกาศจากทางบริษัทอย่างเป็นทางการ แต่สิ่งนี้ทำให้เรามองว่า EOS Orbit เป็นหนึ่งบริษะที่น่าจับตามองอย่างมากในวงการอวกาศไทยปีนี้

ส่งมอบ MATCH และ ALIGN ถูกรับเลือก เดินทางสู่ดวงจันทร์กับยานจีน

ความคืบหน้าสำคัญของความร่วมมือในโครงการ International Lunar Research Station หรือ ILRS หลังจากที่ได้มีการเซ็นเข้าร่วมไปในปี 2024 ที่เราได้รายงานไปใน วิเคราะห์ไทยเซ็น ILRS เป็นทางการ หลังจากที่ประกาศไปอย่างชัดเจนในช่วงปีก่อนว่าไทยนั้น ได้พื้นที่ในการส่งอุปกรณ์ MATCH หรือ Moon-Aiming Thai-Chinese Hodoscope ซึ่งเป็นอุปกรณ์ตรวจวัดอนุภาคพลังงานสูงในอวกาศไปกับยานโคจร Chang’e 7 ขององค์การอวกาศจีน CNSA ในปี 2025 ความคืบหน้าของโครงการ MATCH นั้นก็คือได้มีการส่งมอบตัวอุปกรณ์ไปยังประเทศจีนเป็นที่เรียบร้อยในเดือนสิงหาคม

ภาพของ Engineering Model ของอุปกรณ์ MATCH ที่จะถูกส่งไปดวงจันทร์กับภารกิจ Chang’e 7

ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ NARIT เปิดเผยกับทีมงานบอกว่าหนึ่งในความท้าทายที่สำคัญของการพัฒนา MATCH ก็คือการขึ้นรูปตัวชิ้นงานด้วยวัสดุแบบ Magnesium Alloy ซึ่งเป็นครั้งแรกที่วิศวกรจากสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติประสบความสำเร็จในการขึ้นรูปวัสดุดังกล่าว หัวหน้าวิศวกรของตัวโครงการ ดร.พีรพงศ์ ต่อฑีฆะ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าประสบการณ์ในการทำงานร่วมกับองค์การอวกาศจีนนั้นมีประโยชน์ในการยกระดับมาตรฐานการทำงานอวกาศของประเทศไทยอย่างมาก

นอกจาก MATCH แล้วอีกหนึ่งการทดลองที่จะถูกส่งไปกับโครงการ Chang’e นั้นก็ได้แก่ ALIGN หรือ Assessing Lunar Ion-Generated Neutrons ซึ่งได้รับคัดเลือกอย่างเป็นทางการและประกาศไปในงาน China Space Day ตามที่เราเคยได้รายงานไปในบทความ ALIGN เครื่องมือไทยที่จะถูกส่งไปยังดวงจันทร์พร้อมกับ Chang’e 8 โดยหลังจากที่ได้รับการคัดเลือก ALIGN ได้เข้าสู่ขั้นตอนของการดำเนินงานเต็มรูปแบบ เป้าหมายของ ALIGN คือการใช้เทคนิค Passive Neutron Detection เพื่อ “ฟัง” นิวตรอนที่ถูกปล่อยออกมาเองตามธรรมชาติ จากการที่อนุภาคพลังงานสูง เช่น รังสีคอสมิก หรือพายุสุริยะ พุ่งชนพื้นผิวดวงจันทร์ เพื่อศึกษาองค์ประกอบทางธาตุที่สำคัญ ที่อาจนำไปสู่การค้นหาน้ำบนผิวดวงจันทร์

ตัวอย่างแบบจำลองของ ALIGN ที่จัดแสดงในงาน China Space Day 2025 ที่นครเซี่ยงไฮ้ ที่มา – Nattanon Dungsunenarn/Spaceth
ป้ายนิทรรศการให้ความรู้เกี่ยวกับอุปกรณ์ ALIGN ที่จะเดินทางไปกับยาน Chang’e 8 ในงาน ที่มา – Nattanon Dungsunenarn/Spaceth

ความร่วมมือระหว่างไทยกับจีนอาจเรียกได้ว่าฉุดไม่อยู่ แต่หลาย ๆ โครงการ ก็ไม่ได้ถูกพูดถึงต่อมากนัก เช่น การส่งยานอวกาศขนาดเล็กติดไปกับยาน Chang’e 8 ที่ NARIT เคยเรียกว่า Lunar Pathfinder ที่เราคาดว่าไม่น่าทันส่งกับยานอวกาศ Chang’e 8 รวมถึงการที่จีนเปิดรับข้อเสนอในการส่งอุปกรณ์การทดลองไปกับยาน Tianwen-3 ของจีน ก็คาดว่าเราน่าจะยังไม่ได้รับเลือกเช่นเดียวกัน แต่ก็ถือว่าไทยเราเป็นชาติที่มีบทบาทอย่างมากภายใต้โครงการ ILRS ที่พูดได้เต็มปากว่าตั้งขึ้นมาชนกับโครงการ Artemis จากฝั่งสหรัฐฯ โดยตรง

ในหลวงเสด็จเยือนองค์การอวกาศจีน CNSA

หนึ่งในเหตุการณ์ที่น่าสนใจมากของปีนี้ คือการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสด็จเยือน CNSA ซึ่งเป็นพื้นที่รวมศูนย์งานอวกาศของจีน ตั้งแต่การออกแบบดาวเทียม ไปจนถึงการพัฒนายานสำรวจห้วงลึก เรียกง่าย ๆ ว่านี่คือที่ที่จีนใช้ขับเคลื่อนโครงการอวกาศเกือบทั้งหมดของตัวเอง การได้เข้าไปดูถึงศูนย์กลางแบบนี้ ทำให้เราเห็นภาพว่าคู่เจรจาของไทยในวันนี้ ไม่ได้เป็นเพียงหน่วยงานวิชาการ แต่คือระบบอุตสาหกรรมอวกาศที่ครบตั้งแต่ห้องแล็บจนถึงภาคธุรกิจ

ทรงทอดพระเนตรแบบจำลองของสถานีอวกาศ Tianggong ของจีน ที่มา – Bureau of the Royal Household

ภายในนิทรรศการที่จัดแสดง มีทั้งประวัติศาสตร์ของโครงการอวกาศจีน ดาวเทียมหลายรุ่น ยาน Shenzhou ระบบนำทาง Beidou ไปจนถึงยานสำรวจดวงจันทร์และดาวอังคาร สิ่งที่น่าสังเกตคือฝ่ายจีนเลือกหยิบ Chang’e 6 ซึ่งเป็นภารกิจเก็บตัวอย่างจากด้านไกลของดวงจันทร์ มาใช้เป็นตัวแทนเล่าเรื่องความก้าวหน้าของประเทศ นี่ไม่ใช่แค่การโชว์เครื่องมือ แต่เป็นการบอกอย่างชัดเจนว่าจีนต้องการให้ไทยเห็นตัวเองในฐานะประเทศที่กำลังจะก้าวเป็นมหาอำนาจด้านสำรวจอวกาศในระยะยาว และที่สำคัญทั้งสองยังทรงพูดคุยกับนักบินอวกาศจีนบนสถานีอวกาศ Tiang Gong ด้วย ทำให้ ในหลวงและพระราชินี ทรงเป็นประมุขของต่างประะเทศองค์แรกที่ได้ทรงทำกิจกรรมในลักษณะดังกล่าว

บรรยากาศขณะทรงพูดคุยกับลูกเรือบนสถานีอวกาศจีน ที่มา – Bureau of the Royal Household
บรรยากาศในศูนย์ควบคุม Beijing Aerospace Flight Control Center ที่มา – Bureau of the Royal Household

ศูนย์แห่งเดียวกันนี้ยังมีศูนย์ฝึกนักบินอวกาศ และศูนย์ควบคุมภารกิจ Beijing Aerospace Flight Control Center หรือ BACC ที่ใช้ติดตามและสั่งการภารกิจสำคัญของชาติ การได้เข้าไปถึงพื้นที่ระดับยุทธศาสตร์เช่นนี้ บอกอะไรเราพอสมควรเกี่ยวกับระดับความเชื่อใจที่จีนมีต่อไทย และในอีกมุมหนึ่ง ก็ทำให้กรอบความร่วมมืออย่าง ILRS หรือการส่งเครื่องมือไทยไปกับยานสำรวจของจีน ดู “จับต้องได้” มากขึ้นสอดคล้องกับที่ไทยมีความร่วมมืออวกาศกับจีน

โครงการ Thai Space Consortium คืบหน้าเกือบสมบูรณ์

โครงการสร้างยานอวกาศบนแผ่นดินไทยอย่าง Thai Space Consortium ที่เป็นมีตัวตั้งตัวตีเป็น NARIT, GISTDA และสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน ตอนนี้กำลังคืบหน้าพอสมควร แม้ว่าปลายปีก่อน NARIT จะเสียดาวเทียม NARIT Cube-1 ไปกับการระเบิดของจรวด Kairos จากบริษัท Space One แต่ในปีนี้ NARIT ยังคงเดินหน้าพัฒนาดาวเทียม CubeSat ไม่ว่าจะเป็นตัว Cube-1 ตัวใหม่รวมถึงศึกษาการพัฒนดาวเทียม CubeSat แบบกล้องโทรทรรศน์ที่อาศัยกลไกในการกางกระจกในอวกาศ แต่สิ่งที่เรียกได้ว่าเป็นไฮไลต์ของปีก็คือความคืบหน้าในการพัฒนายาน TSC-1 ยานอวกาศขนาดไม่เกิด 100 กิโลกรัม ที่ล่าสุดเราพาไปชมถึงห้องประกอบในบทความ พาชมยานอวกาศ TSC-1 ที่กำลังประกอบที่เชียงใหม่ พร้อมข้อมูลเจาะลึก

เจ้าหน้าที่ขณะกำลังประกอบยานอวกาศ TSC-1 ณ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ ที่มา – NARIT
ยานอวกาศ TSC-1 รูที่เห็นด้านหน้าคือช่องสำหรับ Hyperspectral Camera ที่มา – NARIT

ในช่วงปลายปี 2025 เราได้เห็นวิศวกร NARIT นำเอาดาวเทียม TSC-1 ไปทดสอบในหลาย ๆ ที่ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือ Radio Frequency ไปจนถึงการทดสอบสั่น Vibration Test ซึ่งเรียกได้ว่าอยู่ในช่วงท้าย ๆ ของการประกอบแล้ว อย่างไรก็ดีสิ่งหนึ่งที่ยังเดินทางมาไม่ถึงแผ่นดินไทยก็คือตัว Payload หลักได้แก่ Hyperspectral Camera ที่พัฒนาอยู่ที่ Changchun Institute of Optics Fine Mechanies and Physics ประเทศจีน

อย่างไรก็ดีเรายังไม่เห็นกำหนดตารางปล่อยยาน TSC-1 แต่มีข้อมูลยืนยันแล้วว่าตัว TSC-1 จะถูกปล่อยด้วยจรวด Falcon 9 ในภารกิจตระกูล Transporter ผ่านผู้ให้บริการได้แก่ Exolaunch ซึ่งก็ต้องน่าติดตามว่า NARIT จะสามารถปล่อยยานอวกาศขนาดเล็กของตัวเองลำนี้ได้เมื่อไหร่

งานประชุมด้านอวกาศเยอะขึ้น องค์กรสื่อเริ่มตื่นตัวด้านอวกาศ

ในปีนี้เราได้เห็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับอวกาศเกิดขึ้นเยอะมาก สิ่งที่เป็นไฮไลต์ประจำปีก็คือ GISTDA ได้เปลี่ยนชื่องาน Thailand Space Week ให้กลายเป็น Thailand Space Expo และจัดอย่างยิ่งใหญ่ที่ True Iconhall ไอคอนสยาม โดยในงานนี้ได้รวบรวมผู้ประกอบการอวกาศจากทั้งไทยและทั่วโลกมาแลกเปลี่ยนความรู้ ดีลธุรกิจ และเปิดให้นักวิจัย วิศวกรและผู้สนใจทั่วไปได้เข้าชมงานตลอด 3 วัน ตามที่เราได้รายงานไปในบทความ พาชมบรรยากาศ Thailand Space Expo 2025 ชมการจัดแสดงเทคโนโลยีอวกาศล่าสุด โดยตัวงานได้จัดในช่วงเดือนตุลาคม 2025

นิทรรศการจากเยาวชนและภาคการศึกษา ที่มา – Nattanon Dungsuneanrn/Spaceth
การพูดถึงโครงการ TSC ของสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ ที่มา – Nattanon Dungsuneanrn/Spaceth

เรียกได้ว่าทาง GISTDA ทำการบ้านมาเป็นอย่างดีเพื่อเตรียมตัวจัดงาน APRSAF หรือ Asia-Pacific Regional Space Agency Forum งานประชุมด้านอวกาศใหญ่ระดับภูมิภาคทีปี 2026 ไทยจะเป็นเจ้าภาพ ดังนั้นสนาม Thailand Space Expo ปีนี้จึงเป็นเหมือนตัวอย่างว่าในวงาน APRSAF เราจะได้เห็นภาพอะไรเกิดขึ้นบ้าง

วิศวกรจากสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติกำลังพูดถึงโครงการสำรวจดวงจันทร์ของไทย ที่มา – Natcha Boonroj/Spaceth
เวทีเสวนาพูดถึงพัฒนการและโอกาสของการทำสื่ออวกาศในประเทศไทย ที่มา – Natcha Boonroj/Spaceth

อีกหนึ่งงานสำคัญในช่วงปลายปีที่เรียกได้ว่าน่าจับตามองก็คือ Thai PBS ได้จัดงาน Bringing Thailand to Space ในเดือนพฤศจิกายน โดยเป็นครั้งแรกที่มีการจัดงานอวกาศโดยสื่อเสกลใหญ่ของประเทศไทย ในงานได้มีการรวบรวมวิศวกร นักวิจัย ที่มีผลงานในแวดวงอวกาศไทยมาร่วมงานและอัพเดทข่าวสารล่าสุดในวงการอวกาศ เป็นเรื่องน่าดีใจที่หลายฝ่ายเห็นความสำคัญของการผลักดันวงการอวกาศร่วมกัน

โครงการอวกาศเยาวชนได้รับคัดเลือกสู่ญี่ปุ่นอีกครั้ง

ความร่วมมือระหว่าง JAXA กับ NSTDA หรือ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ยังคงดำเนินต่อไป โดยในปีนี้ไทยเราได้ส่งเยาวชนเข้าร่วมโครงการสนับสนุนกิจกรรมอวกาศภาคประชาชนกับทางญี่ปุ่นอีกครั้ง ผลออกมาก็คือ JAXA เลือก 2 การทดลองของเด็กไทย ทดลองบนสถานีอวกาศนานาชาติต้นปี 2026 จากเยาวชนที่ส่ง Proposal มามากกว่า 500 การทดลอง โดยการทดลองทั้งหมดถูกคัดเลือกเหลือเพียงแค่ 11 การทดลองเท่านั้น และ 2 การทดลองเป็นของเยาวชนไทย และอุปกรณ์สำสำหรับการทดลองก็ได้ถูกส่งขึ้นไปในเที่ยวบิน HTV-X

นักบินอวกาศ Kimiya Yui ลูกเรือ Expedition 73 จะทำการทดลองในโครงการ Asian Try Zero-G ที่มา – NASA/Josh Valcarcel 
นักบินอวกาศ Satoshi Furukawa ขณะกำลังพูดคุยถึงความเป็นไปได้ของการทดลอง ที่มา – JAXA

เยาวชนไทยจะเดินทางไปยัง Tsukuba Space Center และรับชมขณะนักบินอวกาศทำการทดลองสด ๆ พร้อมพูดคุยกับทีมสื่อสารภาคพื้นดินในห้อง Mission Control Room ของสถานีอวกาศนานาชาติฝั่งญี่ปุ่น พร้อมกับสื่อจากประเทศไทยเดินทางไปด้วย น่าเสียดายที่ในรอบนี้ NSTDA ยังคงไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณสำหรับสนับสนุนกิจกรรมและยังคงต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากเอกชน ซึ่งในรอบนี้ผู้สนับสนุนการเดินทางของเยาวชนไทยคือสายการบิน Thai AirAsia X

ส่วนโครงการ Kibo Robot Programming Challenge ซึ่งเป็นการแข่งขันควบคุมหุ่นยนต์บนสถานีอวกาศนานาชาติในปีนี้เยาวชนไทยที่ผ่านการคัดเลือกระดับประเทศก็จะได้ไปร่วมแข่งระดับนานาชาติเช่นเคย เป็นทีมจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่จะเดินทางไปแข่งในเดือนกุมภาพันธ์ 2026 เช่นกัน ตามที่ทาง NSTDA รายงานไว้ใน The 6th Kibo Robot Programming Challenge Award Ceremony

ปีแห่งการทดลองบนสถานีอวกาศนานาชาติ ไก่ ผลึกเหลว และอาหารอวกาศ

ในช่วงปี 2025–2026 บทบาทของประเทศไทยบนสถานีอวกาศนานาชาติเริ่มปรากฏให้เห็นชัดในฐานะผู้ส่งการทดลองขึ้นไปตั้งคำถามกับฟิสิกส์ในสภาวะไร้น้ำหนัก มากกว่าจะเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์จากภาคพื้นดิน ตัวอย่างสำคัญประกอบด้วยโครงการ Thailand Liquid Crystal in Space ของคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ การทดลอง TIGERS-X จากราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ และการส่งเนื้อไก่จากบริษัท CPF ขึ้นไปเป็นส่วนหนึ่งของเมนูลูกเรือในภารกิจ Axiom Mission 4 ทั้งสามชิ้นงานนี้ร่วมกันสะท้อนให้เห็นว่า ประเทศไทยเริ่มเข้าไปมีส่วนร่วมกับระบบนิเวศของสถานีอวกาศนานาชาติทั้งในมิติวิทยาศาสตร์พื้นฐาน วิศวกรรมระบบทดลอง ไปจนถึงอาหารการกิน

ลูกเรือ Axiom Mission 4 เดินทางสู่สถานีอวกาศนานาชาติพร้อมกับโครงการไก่ไทยไปอวกาศ ที่มา – NASA

โครงการ Thailand Liquid Crystal in Space ถือเป็น Active Payload ที่มีความซับซ้อนสูงที่สุดชิ้นหนึ่งที่ทีมวิจัยชาวไทยเคยส่งขึ้นไปยังสถานีอวกาศนานาชาติ โดยมีเป้าหมายหลักในการศึกษาพฤติกรรมของจุดพร่อง หรือ Defect ในโครงสร้างผลึกเหลวเมื่อถูกกระตุ้นด้วยการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างฉับพลันภายใต้สภาวะ Microgravity การทดลองถูกติดตั้งบน Materials Science Research Rack หรือ MSRR-1 ในโมดูล Destiny และทำงานต่อเนื่องรวม 120 ชั่วโมง ภายในกรอบเวลารวม 22 วัน ในเดือนธันวาคม 2025 ร่วมกับระบบกล้องจุลทรรศน์ KERMIT ที่ควบคุมจากภาคพื้นดิน

Thailand Liquid Crystal in Space ถูกติดตั้งเข้ากับ Materials Science Research Rack ที่มา – NASA
ลูกเรือ Mike Fincke กำลังติดตั้งการทดลอง Thailand Liquid Crystal in Space ที่มา – NASA

ความท้าทายทั้งด้านการติดตั้ง การจัดสรรเวลาใช้งานอุปกรณ์ร่วมกับการทดลองอื่น และการแก้ปัญหาหน้างานบนสถานี ถูกบันทึกและถ่ายทอดกลับมาเป็นองค์ความรู้และมรดกทางวิศวกรรมสำหรับการออกแบบ Payload ไทยรุ่นถัดไปอย่างเป็นระบบ เจาะลึก Thailand Liquid Crystal in Space ทำการทดลองบนสถานีอวกาศนานาชาติ

ยาน Cygnus XL นำส่งการทดลอง Thailand Liquid Crystal in Space เดินทางสู่อวกาศ และในภาพจะมียาน HTV-X ที่นำส่งดาวเทียม KNACKSAT-2 และการทดลองของเยาวชนไทย ที่มา – NASA

ในอีกด้าน TIGERS-X จากราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์และเครือข่ายพันธมิต ประกอบชุดการทดลองสมบูรณ์ เป็นตัวอย่างของการต่อยอดงานวิจัยจากเที่ยวบินไร้น้ำหนักสู่แพลตฟอร์มการทดลองระยะยาวบนสถานีอวกาศนานาชาติ โดยมุ่งศึกษากระบวนการ Emulsification และ Colloidal Mixing ของสารสองเฟสในสภาวะไร้น้ำหนัก ผ่านสถาปัตยกรรมแบบ Lab-On-Chip ภายใน Payload ขนาดใกล้เคียง CubeSat 4U ที่สามารถทำงานได้อย่างอัตโนมัติบนแพลตฟอร์ม ICE Cubes ในโมดูล Columbus ระบบไฟฟ้า กล้องบันทึกภาพ และวงจรควบคุมปั๊มถูกออกแบบให้ทำงานด้วยพลังงานระดับไม่กี่วัตต์ แต่ให้ข้อมูลเชิงเวลาในสเกลชั่วโมงถึงสัปดาห์ ซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการออกแบบระบบการผลิตอาหาร ยา และวัสดุก่อสร้างในอวกาศในระยะยาว การที่โครงการประกาศชัดว่าจะเปิดข้อมูลเพื่อให้ใช้เป็นมรดกทางวิศวกรรมสำหรับสาธารณะ ยังสะท้อนการวางฐานความรู้ระยะยาวของชาติ โดยการทดลองนี้จะถูกส่งขึ้นสู่อวกาศในเดือนพฤษภาคม 2026

การประกอบชุดการทดลอง TIGERS-X เพื่อเตรียมนำส่ง ที่มา – Thakdanai Sirisombat/Chulabhorn Royal Academy
การทดลองจะถูกนำไปติดตั้งกับสถานีอวกาศนานาชาติฝั่งยุโรป ที่มา – Thakdanai Sirisombat/Chulabhorn Royal Academy

ขณะเดียวกัน การส่ง “ไก่ไทย” ของบริษัท CPF ขึ้นไปเป็นส่วนหนึ่งของเมนูผู้บัญชาการภารกิจ Axiom Mission 4 บนยานอวกาศ Dragon ก็เป็นหลักฐานสำคัญว่าภาคเอกชนไทยเริ่มมีบทบาทจริงจังใน Ecosystem ที่เกี่ยวข้องกับภารกิจมีลูกเรือ ตั้งแต่กระบวนการทำผ่านมาตรฐานด้านความปลอดภัยของ NASA เช่น NASA STD-3001 ไปจนถึงการเป็นส่วนหนึ่งของ Supply Chain อาหารในระดับนานาชาติ ซึ่งเราก็ได้พาเดินทางไปเจาะลึกในบทความ พาชมบรรยากาศชาวไทย บุกไปส่งไก่ CP เดินทางสู่อวกาศถึง NASA Kennedy Space Center

เมื่อพิจารณาร่วมกันทั้งสามโครงการ จะเห็นว่า ปี 2026 คือช่วงเวลาที่บทบาทของไทยบนสถานีอวกาศนานาชาติไม่ได้จำกัดอยู่แค่การ “ส่งของขึ้นไปทดลอง” แต่เริ่มขยับไปสู่การออกแบบระบบทดลองเชิงวิศวกรรม การผลิตองค์ความรู้ และการเชื่อมต่อกับอุตสาหกรรมจริงบนโลกในเวลาเดียวกันอย่างชัดเจน

ดาวเทียม KNACKSAT-2 เดินหน้าสู่สถานีอวกาศนานาชาติ

ส่วนดาวเทียม KNACKSAT-2 ที่พัฒนาโดยบริษัท NBSpace หลังจากที่โดนดีเลย์มานานหลายเที่ยวบิน และอยู่ในการพูดถึงของเราตั้งแต่บทความ “สรุปกิจกรรมในวงการอวกาศไทย 2024” ล่าสุดดาวเทียม CubeSat ขนาด 3U ดวงดังกล่าวก็ได้รับการส่งขึ้นสู่อวกาศ แต่เป็นการส่งขึ้นสู่สถานีอวกาศนานาชาติผ่านยานขนส่งเสบียง HTV-X ของญี่ปุ่น ซึ่งเดินทางขึ้นสู่อวกาศในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2025

จรวด H3 บินขึ้นจาก Tanegashima Space Center ทางตอนใต้ของญี่ปุ่น ที่มา – JAXA

สาเหตุที่เป็นการนำส่งในลักษณะนี้ เพราะ KNACKSAT-2 จะถูกปล่อยออกจากระบบปล่อย CubeSat JSSOD ของสถานีอวกาศนานาชาติฝั่งญี่ปุ่นนั่นเอง วิศวกรบริษัท NBSpace ให้ข้อมูลกับเราว่า ทีมงานได้บินไปนำส่งตัวดาวเทียมให้กับองค์การอวกาศญี่ปุ่น หรือ JAXA ในช่วงกลางเดือนตุลาคม โดยพบปัญหาเล็กน้อย เนื่องจากเสาสัญญาณของดาวเทียมกางออกมาก่อนกำหนด ทำให้ต้องมีการปรับแก้กันในช่วงสุดท้าย ก่อนบรรทุกขึ้นยาน HTV-X ได้สำเร็จ

ดาวเทียม KNACKSAT-2 จะถูกปล่อยออกจากสถานีอวกาศนานาชาติในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2025 โดยจะมีการใช้ Ground Station ของ NBSpace ในการรับสัญญาณ ดาวเทียมดวงนี้ยังบรรทุก Payload การทดลองของเยาวชนไทยในโครงการดาวเทียมเตรียมวิศวะ ขึ้นไปพร้อมกับ Payload จาก AIS สำหรับทดสอบเทคโนโลยี Internet Of Things นับเป็นอีกหนึ่งดาวเทียม CubeSat ของไทย หลังจากที่ในปี 2018 ได้มีการส่งดาวเทียม KNACKSAT-1 ขึ้นสู่อวกาศไปก่อนหน้าแล้ว

โครงการ THEOS เดินหน้า เปิดตัวดาวเทียมใหม่นับสิบ

มาถึงฝั่งโครงการดาวเทียมสำรวจโลกของไทยบ้าง ในปี 2025 GISTDA ได้รายงานถึงความคืบหน้าของโครงการ THEOS-3 ที่จะสานต่อภารกิจของ THEOS-2 โดยดาวเทียม THEOS-3 จะถูกสร้างโดยวิศวกรไทยเอง หลังจากได้รับ “มรดกทางวิศวกรรม” จากการสร้างดาวเทียม THEOS-2A ร่วมกับบริษัท SSTL ประเทศอังกฤษ

และในปี 2026 เราก็จะได้เห็น THEOS-3 เป็นรูปเป็นร่าง หลังล่าสุดเพิ่งผ่านการทำ Preliminary Design Review หรือขั้นตอนการตรวจสอบการออกแบบไปเป็นที่เรียบร้อย ในขณะเดียวกัน GISTDA ก็ได้เปิดตัวแผนพัฒนาดาวเทียม THEOS รุ่นถัดไป ซึ่งไม่ได้เป็นแค่ดาวเทียมดวงเดียว แต่เป็นกลุ่มดาวเทียม หรือ Constellation สำหรับการศึกษาโลกในหลายย่านคลื่นความถี่ รวมถึงบางดวงจะทำงานแบบ Synthetic Aperture Radar (SAR) ใช้การยิงคลื่นวิทยุลงไปสะท้อนกลับ เพื่อสร้างแผนที่โลกในลักษณะกึ่งสามมิติ

แผนระยะยาวของ THEOS ที่จะขยายต่อเนื่องไปจนถึง THEOS-6 ที่มา – Nattanon Dungsuneanrn/Spaceth

หากโครงการ THEOS เดินหน้าได้ตามแผน THEOS จะกลายเป็นกลุ่มดาวเทียมที่มีลักษณะคล้ายโครงการ Sentinel ของยุโรป ช่วยให้เรามองโลกจากหลายมุม และในหลายสเกลข้อมูลมากยิ่งขึ้น

นโยบายท่าอวกาศยานยังคงถูกพูดถึง

คำว่า “ท่าอวกาศยาน” เป็นหนึ่งใน Buzzword ที่ถูกพูดถึงในวงการอวกาศไทยมานานกว่า 5 ปี แม้จะยังไม่มีการศึกษาอย่างจริงจัง หรือแผนการที่เป็นรูปธรรม รวมถึงหลายฝ่ายยังมองว่าห่างไกลความเป็นจริงและความสมเหตุสมผล แต่ล่าสุด GISTDA ได้เผยแผนการศึกษาการสร้าง Spaceport ผ่านบริษัทที่มีชื่อว่า “Put The Company Name Here” โดยพูดถึงแผนของโครงการในลักษณะกว้าง ๆ น่าสนใจว่าแนวคิด Spaceport จะถูกดันไปได้ไกลแค่ไหนในปี 2025 เพราะก่อนหน้านี้ทีมงานได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวของบริษัท Equatorial Space บริษัทพัฒนาจรวดสัญชาติสิงคโปร์ ว่ามีการถูกปฏิเสธการทดสอบยิงจรวดในไทย ซึ่งดูย้อนแย้งกับความพยายามผลักดันให้ไทยเป็นฐานปล่อยจรวดของภาคเอกชน น่าจับตามองว่าเรื่องนี้จะไปต่ออย่างไร

การเข้ามาของอินเทอร์เน็ตวงโคจรต่ำ ที่ยังเต็มไปด้วยคำถาม

ในปี 2025 เราได้เห็นการเติบโตของเทรนด์บริการอินเทอร์เน็ตบนวงโคจร Low Earth Orbit ในรูปแบบ Constellation มากขึ้น ไม่ใช่แค่ Starlink ที่ตอนนี้ปล่อยดาวเทียมไปมากกว่า 10,000 ดวงแล้ว แต่ผู้เล่นรายอื่นอย่าง OneWeb ก็ให้บริการเต็มรูปแบบมาซักพักใหญ่ รวมถึง Amazon LEO ที่กำลังเร่งเพิ่มจำนวนดาวเทียม บริษัทอวกาศจากจีนเองก็เริ่มเข้ามามีบทบาทในตลาดนี้เช่นกัน

ช่วงกลางปี เราเห็น SpaceX เข้ามาจดโดเมนกับ THNIC ภายใต้ชื่อ Starlink.th แต่ยังไม่มีการขึ้นหน้าเว็บหรือทำประชาสัมพันธ์ ทำให้คาดได้ว่า Starlink เตรียมเข้ามาให้บริการในไทยเต็มรูปแบบเร็ว ๆ นี้ ระหว่างนี้ใครอยากลองใช้อาจต้องใช้ในประเทศที่เปิดให้บริการแล้ว หรือบนสายการบิน เช่น Qatar Airways, Emirates, United ที่ทยอยนำ Starlink ให้บริการบนเที่ยวบิน รวมถึงเที่ยวที่เข้าและออกจากไทย ผู้ให้บริการรายอื่น ๆ ก็มีรายงานว่ามีการทดสอบ OneWeb ในไทย รวมถึงการทดลองอินเทอร์เน็ตดาวเทียมจากจีนร่วมกับมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์

บริษัทอวกาศขนาดกลางและใหญ่กำลังเติบโต

มาถึงบริษัทอวกาศเก่าแก่ของไทยอย่าง Thaicom ซึ่งอยู่ระหว่างเตรียมส่งดาวเทียม Thaicom 9 และ Thaicom 10 สำหรับให้บริการ ในปีที่ผ่านมาเราได้รายงานความคืบหน้าการเลือกใช้ Astranis เป็นผู้ผลิตดาวเทียม ก็ต้องจับตาว่าดาวเทียมทั้งสองดวงจะถูกส่งขึ้นเมื่อใด

อีกหนึ่งบริษัทอย่าง Mu Space แม้จะไม่ได้อัพเดตโครงการยานอวกาศล้ำ ๆ เหมือนช่วงก่อน แต่ก็ยังดำเนินธุรกิจต่อเนื่อง และหันไปจับความร่วมมือมากขึ้น ทั้งกับ iSpace ของญี่ปุ่น และ GISTDA ในธุรกิจสัญญาณดาวเทียมและ Ground Station แสดงให้เห็นว่า Mu Space ปรับตัวตามทิศทางตลาดอวกาศของไทย น่าจับตามองว่าในปี 2026 จะมีผู้เล่นหน้าใหม่รายใดบ้าง เพราะปีนี้ EOS Orbit โผล่มาเงียบ ๆ แต่เปิดตัวมาพร้อมดาวเทียมบนวงโคจรเลย ทำให้เดาว่าอาจมี “ม้ามืด” อีกหลายรายที่รอเวลา

ปีแห่งความท้าทายจากการเมือง และการเลือกตั้งใหม่

หลังความไร้เสถียรภาพทางการเมืองในปี 2025 จนนำไปสู่การยุบสภาและประกาศเลือกตั้งทั่วไปในกุมภาพันธ์ 2026 รัฐบาลใหม่จึงน่าจับตาว่าจะพาวงการอวกาศไทยไปทิศไหน ปลายปีที่ผ่านมา เราได้รับการติดต่อจากหลายพรรคการเมือง ทั้งพรรคประชาชน พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ เพื่อพูดคุยเรื่อง Space Economy และแนวทางวางนโยบายด้านอวกาศ สิ่งที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือ ร่างพระราชบัญญัติกิจการอวกาศแห่งชาติฉบับปี 2025 ซึ่งพูดถึงการควบรวมหน่วยงาน การจดทะเบียน และกำกับดูแลวัตถุอวกาศ หลายฝ่ายแสดงความกังวลว่าอาจปิดโอกาสผู้เล่นหน้าใหม่ และร่างนี้อาจถูกพับไปพร้อมการยุบสภาจึงต้องรอดูว่าจะมีฝ่ายใดหยิบขึ้นมาแก้ไข หรือเขียนร่างใหม่ขึ้นมาทดแทน

สรุปภาพใหญ่ของสิ่งที่เกิดขึ้น

ภาพใหญ่ของวงการอวกาศไทยในปี 2025 จึงไม่ใช่ภาพของ “ความสำเร็จถล่มทลาย” แต่ก็ไม่ใช่ภาพ “มืดมนไร้อนาคต” หากมองอย่างกลาง ๆ จะเห็นว่าปีนี้คือช่วงรอยต่อที่สำคัญมาก ระหว่างการเป็น “ผู้ตามและผู้ร่วมสังเกตการณ์” ไปสู่การเป็น “ผู้เล่นตัวจริง” ในหลายมิติ เราเห็นดาวเทียมและ Payload ไทยถูกส่งขึ้นทั้งสู่วงโคจรและสถานีอวกาศนานาชาติ เห็นมหาวิทยาลัยและห้องทดลองไทยเริ่มออกแบบระบบทดลองที่ซับซ้อนมากขึ้น เห็นภาคเอกชนไทยตั้งแต่สตาร์ตอัปอย่าง EOS Orbit ไปจนถึงบริษัทใหญ่ระดับ Thaicom และ CPF เริ่มจับจังหวะของเศรษฐกิจอวกาศโลก และหาพื้นที่ของตัวเองทั้งบนวงโคจรต่ำ บนดวงจันทร์ และใน Ecosystem ของสถานีอวกาศนานาชาติ

ในเวลาเดียวกัน ปี 2025 ก็เป็นปีที่สะท้อนข้อจำกัดเชิงโครงสร้างของประเทศไทยอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นความไม่แน่นอนทางการเมือง ร่างกฎหมายกิจการอวกาศที่ยังไปไม่ถึงเส้นชัย ท่าอวกาศยานที่ยังอยู่ในระดับ Buzzword มากกว่าแผนปฏิบัติการจริง ไปจนถึงโครงการบางส่วนที่ยังไร้กรอบเวลาปล่อย หรืออาจไม่ทันเข้าไปมีส่วนร่วมในจังหวะสำคัญของชาติอื่น ๆ หากมองแบบไม่อวยและไม่แช่ง สิ่งที่เกิดขึ้นในปีนี้ทำให้เห็นทั้ง “พื้นฐาน” ที่เริ่มวางไว้ค่อนข้างดีในเชิงบุคลากร โครงการ และความร่วมมือระหว่างประเทศ และ “โจทย์ยาก” ที่ยังรอรัฐบาลใหม่ หน่วยงานรัฐ และภาคเอกชน ช่วยกันตอบว่า ไทยจะเลือกเป็นเพียงตลาดผู้บริโภคเทคโนโลยีอวกาศ หรือจะลงทุนลงแรงจริงจังเพื่อเป็นผู้เล่นที่มีของของตัวเองในระยะยาวกันแน่

เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co

Technologist, Journalist, Designer, Developer, I believe in anti-disciplinary. Proud to a small footprint in the universe. For Carl Sagan.