Apple ได้เปิดตัวตัวอย่างแรกของซีรีย์เรื่อง For All Mankind ซีซั่น 2 เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคมที่ผ่านมา ผ่านทางวิดิโอในอีเวนต์ Comic-Con@Home 2020 ที่จัดขึ้นแทนการจัด San Diago Comic-Con อันเป็นงานอีเวนต์ด้าน Media และ Entertainment ที่ใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของโลกทุกปี หลังจากที่มีการประกาศ Renewal ซีซั่น 2 ไปในเดือนตุลาคมปีที่แล้ว
จะเกิดอะไรขึ้นถ้า Space Race ไม่จบลงในขณะนั้น?
คำถามกังกล่าวได้ถูกตั้งขึ้นมาเป็นคีย์เวิร์ดสำคัญของซีรีย์เรื่องนี้ตั้งแต่ครั้งเมื่อ Apple ประกาศเข้าการแข่งขันตลาด Streaming อย่างเป็นทางการเมื่อหนึ่งปีครึ่งที่แล้ว ด้วยการประกาศโครงการ Apple TV+ พร้อมกับเปิดตัว Original Series จำนวนหลายชิ้นใน Apple Special Event เดือนมีนาคมปี 2019 ถัดมาจากการประกาศเรียกน้ำย่อยไปเกือบ 8 เดือน ซีรีย์ยาว 10 ตอนเรื่องนี้ก็ได้ถูก premiere ลงใน Apple TV+ ในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน
[หมายเหตุ: มีการสปอยล์เล็กน้อยแต่ไม่ใช่เนื้อหาสำคัญ]
เมื่อโซเวียตชนะอเมริกาในการส่งมนุษย์ไปดวงจันทร์
ซีรีย์ได้เริ่มต้นขึ้นในยุคดุเดือดของ Space Race (1969) หลังจากที่สหรัฐอเมริกาพ่ายแพ้ทั้งในการส่งดาวเทียมดวงแรกขึ้นอวกาศและมนุษย์คนแรกขึ้นอวกาศ โทรทัศน์ได้ถ่ายทอดสดภาพของนักบินอวกาศผู้หนึ่งที่กำลังก้าวลงมาจาก Lunar Module เมื่อลงมาถึงพื้นแล้ว นักบินอวกาศคนนั้นได้หยุดพักหายใจไปชั่วครู่ก่อนที่จะเริ่มเอ่ยปากพูดออกมาเป็นภาษารัสเซียว่า “ผมอุทิศฝีก้าวนี้เพื่อประเทศของผม เพื่อคนของผม และเพื่อลัทธิมาร์กซ์และลัทธิเลนิน รู้ว่าวันนี้จะเป็นเพียงก้าวย่างเล็ก ๆ บนการเดินทางที่สักวันหนึ่งจะนำพาเราทั้งผองไปสู่ดวงดาว” สหภาพโซเวียตสามารถส่งมนุษย์ไปเหยียบดวงจันทร์ได้สำเร็จก่อนสหรัฐอเมริกา ประวัติศาสตร์ได้ถูกพลิกกลับเมื่อชื่อที่จะถูกจารึกไว้ในฐานะผู้บุกเบิกแห่งเทหวัตถุฟ้านี้คือ Alexei Leonov ไม่ใช่ Neil Armstrong จากสีหน้าที่เคร่งเครียดของเจ้าหน้าที่ของสหรัฐ นาซ่าและนักบินอวกาศที่แสดงออกมา พวกเขาได้รับรู้ถึงการพ่ายแพ้ศึกครั้งใหญ่แล้วอีกครั้งในสมรภูมิที่ชื่อ Space Race นี้
เรื่องราวของซีรีย์นี้ถูกเล่าผ่านมุมมองของตัวละครแต่ละตัวสลับกัน ตั้งแต่นักบินอวกาศภารกิจ Apollo 10 (ที่เปลี่ยนเป็นตัวละครสมมติ) ที่ถูกตั้งคำถามและโทษตัวเองว่าเป็นคนทำให้พลาดโอกาสการลงดวงจันทร์เป็นคนแรก จากการปฏิบัติตามแผนของภารกิจที่นำ Lunar Module ขึ้นจากบรรยากาศดวงจันทร์ (เพื่อเป็นการทดสอบระบบครั้งสุดท้ายก่อนปูทางให้ Apollo 11) ทั้ง ๆ ที่ห่างจากพื้นไปไม่กี่เอื้อมมือ วิศวกรหญิงจากภาคพื้นดินที่พยายามไต่เต้าตำแหน่งขึ้นสู่การบังคับบัญชา กลุ่มนักบินอวกาศหญิงที่ Richard Nixon ดึงเข้ามาเป็นจุดขายใหม่ของการสำรวจอวกาศของสหรัฐ ครอบครัว เพื่อน ๆ ของบุคคลต่าง ๆ ทั้งที่มีตัวตนอยู่จริงและที่เป็นตัวละครสมมติ ไปจนถึงภารโรงและเด็กที่ลักลอบเข้ามาหาความหวังใหม่ภายใต้ดินแดนแห่งเสรีชน
นอกจากมุมมองเล็ก ๆ ของแต่ละคนที่ถูกนำมาร้อยเรียงกันเป็นเส้นเรื่องหลักแล้ว มันยังสะท้อนถึงปัญหาภายในของแต่ละคนและปัญหาของสังคมในยุคนั้น ซีรีย์เรื่องนี้ได้สอดแทรก บอกเล่าเรื่องราวของการเมือง ตั้งแต่ในระดับย่อย ๆ อย่างการไต่เต้าตำแหน่งในองค์กร ไปจนถึงสื่อถึงการวางโพรพากันดาของรัฐบาล สิทธิและเสรีภาพทางเพศและเชื้อชาติ ที่จะเห็นได้จากความไม่เท่าเทียมและการถูกริดรอนสิทธิการแสดงออกที่น่ากระอักกระอ่วนที่ตัวละครเผชิญในเรื่อง รวมถึงประเด็นอย่างเรื่องสุขภาพจิตที่เป็นเสมือนเรื่องต้องห้ามที่ชั่วร้าย ที่ผลกระทบของการไม่ใส่ใจในเรื่องนี้ได้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อหลาย ๆ เรื่อง เป็นแมสเซจที่ผู้สร้างใส่มาและสะกิดผู้ชมให้นึกคิดไว้ได้อย่างลงตัว (ในความคิดเห็นของผู้เขียน) ส่วนในแง่ของข้อมูลที่ Based on ก็ไม่ทำให้เราผิดหวังด้วยรายละเอียดทั้งใหญ่และเล็กที่รู้ได้ว่ามีการทำการบ้านมาอย่างดีทั้งในแง่ประวัติศาสตร์และเทคนิค
ซีรีย์เรื่องนี้ได้ตั้งคำถามไปถึงชื่อซีรีย์ตัวเองว่าการไปดวงจันทร์ของมนุษย์ครั้งนี้เป็นการทำเพื่อ “For All Mankind” จริงหรือไม่ ในเมื่อภาพที่ออกมาคือการต่อสู้แก่งแย่งความเป็นที่หนึ่งเพื่อผลประโยชน์ ที่ทำลายชีวิตของคนหลายคนไปอย่างเลือดเย็น
สามารถรับ For All Mankind ซีซั่นแรกได้ทางบริการ Apple TV+
ซีซั่น 2: 10 ปีให้หลัง เข้าสู่ยุคแห่งกระสวยอวกาศ
ตั้งแต่ก่อนการฉายตอนแรกของซีซั่นแรกอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2019 Apple ก็ได้ประกาศสร้างซีซั่นสองของเรื่องนี้ไปตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2019 โดยอ้างอิงจาก Deadline ก็ได้มีการเริ่ม Production กันอย่างเงียบ ๆ ตั้งแต่ในช่วงเวลานั้นเลย ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธของ Apple ในการประหยัดต้นทุนในการสร้างและทำให้บริการ Apple TV+ สามารถมีซีรีย์ที่ feed เข้ามาได้เรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง
วิเคราะห์ตัวอย่าง
[หมายเหตุ: มีการสปอยล์เนื้อหาสำคัญจากซีซั่นแรก]
“เราต้องรักษาไว้ซึ่งสันติภาพด้วยกำลังตราบนานเท่าที่จำเป็น”
เรื่องราวในซีซั่นสองเกิดขึ้นหลังจากซีซั่นแรกประมาณ 10 ปี (ในปี 1983 หลังจากเรื่องราวในซีซั่นแรกประมาณปี 1974) หลังจากที่ Edward Baldwin สามารถเดินทางกลับมาสู่โลกได้ และหลังจากการส่งแร่พลูโตเนี่ยมขึ้นไปยัง Jamestown บนดวงจันทร์ใน Post Credit ของตอนสุดท้าย ใน teaser ใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวออกมา ภายใต้เสียงประกาศของ Ronald Reagan ประธานาธิบดีคนที่ 40 ของสหรัฐอเมริกาที่พูดถึงภัยของสหภาพโซเวียตและเพลง Sweet Dream ของ Eurythmics ที่คลออยู่ เราได้เห็นตัวละครต่าง ๆ ที่มีการเปลี่ยน พัฒนาตำแหน่งและสถานะของตัวเอง
Margo Madison เหมือนจะได้ก้าวสู่ตำแหน่งสำคัญใน Mission Control, Edward Baldwin ที่กำลังให้เลคเชอร์แก่นักเรียน Ellen Wilson, Danielle Poole และ Molly Cobb ที่เหมือนจะยังอยู่ในงานภาคสนามจากชุดสีน้ำเงินที่ใส่อยู่ (รมถึง Edward Baldwin ที่มีช็อตใส่ชุดนักบินโผล่มานิดหนึ่ง), เห็น Gordo และ Tracy Stevens ที่ทะเลาะกันอยู่ ซึ่งดูเหมือนปัญหาภายในครอบครัวจะยังคงค้างอยู่แม้เวลาจะผ่านมาเป็น 10 ปี
ในส่วนของเทคโนโลยี เราได้เห็นว่าฐาน Jamestown น่าจะยังไม่พังหรือระเบิดไปแล้ว (ฮา) ด้วยช็อตหนึ่งที่แสดงให้ฐานของสหรัฐอเมริกาที่มีขนาดใหญ่กว่า Jamestown ในซีซั่นแรกมาก (จึงคาดการณ์ว่าน่าจะเป็น Jamestown ที่มีการอัพเกรดขึ้น – และอาจเห็นข้างในบางส่วนจากช็อตของ Ellen Wilson ที่กำลังเดินอยู่ในฐานไฮเทคสักแห่ง) มีการเดิน moonwalk ของนักบินอวกาศ 10 คนพร้อมกันบนดวงจันทร์ (น่าจะจากฝั่งโซเวียต) รวมถึงมีพาหนะขนาดใหญ่และการติดอาวุธแก่นักบินอวกาศอเมริกันด้วยปืนสีขาว
มีการใช้กระสวย Columbia ในการทำภารกิจ (หากดูจากหน้ายานที่ชี้ไปที่โลกอาจตีความได้ว่าบินมาจากดวงจันทร์ ซึ่งไกลกว่าความสามารถในการบินในความเป็นจริงค่อนข้างมาก) และการประกาศ DEFCON 3 โดยบุคคลในเครื่องแบบทหาร (ระดับมาตรการการเตรียมพร้อมของกองทัพสหรัฐอเมริกา DEFCON 3 เทียบเท่ากับในช่วงหลังเกิดเหตุการณ์ 911 ในปี 2001) บนดวงจันทร์ ซึ่งแปลว่ามีความเป็นไปได้ที่ในซีรีย์จะเปลี่ยนดวงจันทร์เป็นเขตการรบอย่างจริงจัง
ในช่วงท้ายของซีซั่นแรก ได้มีการพลิกประวัติศาสตร์จากที่เคยเกิดขึ้นบบหน้ามือเป็นหลังมือ ก็เป็นที่น่าสนใจว่าในซีซั่นนี้สิ่งต่าง ๆ จะมีความเปลี่ยนแปลงไปมากกว่าเดิมขนาดไหน การที่ Space Race มีความยาวมากกว่าในประวัติศาสตร์จริง ย่อมกระตุ้นการพัฒนาเทคโนโลยี (และวิวัฒนาการทางสังคม) ในด้านต่าง ๆ อย่างก้าวกระโดดอย่างแน่นอน
“หลังจากที่เราทำสิ่งนี้ไปแล้ว มันจะไม่มีทางหันหลังกลับอีกต่อไป”
คำเตือนของ Edward Baldwin นักบินอวกาศในที่ประชุมปริศนา ก่อนที่ภาพจะเฟดดำไปแล้วขึ้น Title ของเรื่องว่า For All Mankind Season Two ที่เปลี่ยนจากสีขาวทึบในซีซั่นแรกเป็นฟ้าเรืองแรงที่น่าจะปรับให้เข้ากับยุคสมัยนั้น
For All Mankind ซีซั่นสอง ยังไม่มีกำหนดวันฉายที่ชัดเจน แต่มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเริ่มมีข่าวออกมาเกี่ยวกับซีรีย์เรื่องนี้อยู่เรื่อย ๆ