ในปีนี้ก็กลับมาอีกครั้งการการสรุปบรรยากาศโดยรวมตลอดระยะหนึ่งปีที่ผ่านมาของกิจกรรมและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการบินอวกาศ อย่างในบทความสรุปกิจดรรมอวกาศในปี 2024 ที่ผ่านมา ถ้าเอาแบบรวม ๆ จะเห็นได้ว่านับเป็นอีกปีที่จีนได้รุกหนักในอุตสาหกรรมการบินอวกาศ เราได้เห็นความพยายามในการสำรวจดวงจันทร์ของจีนที่ชัดเจนขึ้น เราได้เห็นบริษัทเอกชนจีนเริ่มเข้ามามีพื้นที่ในงานด้านอวกาศจีนอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันเองฝั่งสหรัฐอเมริกาก็อยู่ในช่วงของการเตรียมความพร้อมสำหรับจรวดยุคถัดไปที่จะกลายเป็นม้างานในไม่ช้าโดยเฉพาะกับจรวด Starship และ New Glenn รวมทั้งปัญหาที่เกิดขึ้นกับภารกิจ Atemis I เมื่อปี 2022 ก็ส่งผลกระทบมาจนถึงปี 2025 ทำให้ในปีที่แล้วเราแทบไม่เห็นความคืบหน้าอย่างชัดเจนในการนำมนุษย์กลับไปเยือนดวงจันทร์อีกครั้ง และกลายเป็นปีแห่งการเตรียมพร้อมแทน

ในส่วนของปีนี้เองเรียกได้ว่ามีหลาย ๆ อย่างที่น่าสนใจเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นจำนวนการส่งจรวดที่เยอะกว่าปีที่แล้วอย่างเห็นได้ชัด ทั้งหมดนี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากความต้องการในการส่ง Payload ที่มากขึ้นจากทั่วทุกมุมโลก ทำให้ทั้งสหรัฐฯ และจีนที่เป็นขาใหญ่ในอุตสาหกรรมด้านนี้ก็ต่างพากันขยับสถิติของตัวเองไม่ว่าจะเป็นทั้งจำนวนเที่ยวบินและน้ำหนักของ Payload ที่ถูกส่งขึ้นสู่อวกาศให้สูงขึ้นไปอีก นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการพยายามในการนำจรวดกลับมาลงจอดที่บริษัทหลายแห่งได้เริ่มลงมาเล่นแบบเต็มตัวจากที่แต่ก่อนมีเพียงแค่ไม่กี่รายที่ทำเรื่องแบบนี้ได้ แสดงให้เห็นว่าอุตสาหกรรมอวกาศในภาพรวมที่ไม่ใช่แค่เรื่องของจรวดยังสามารถโตได้อีกและมันจะไม่มีทางนิ่งในเร็ว ๆ นี้แน่ เรามาดูกันดีกว่าว่าในปีนี้มี Event อะไรที่น่าสนใจเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมการบินอวกาศกันบ้างกับปี 2025 ปีแห่งการนำจรวดกลับมาใช้ซ้ำที่แท้จริง
สหรัฐฯ มีจรวดใช้ซ้ำเพิ่มแถมกำลังจะมีอีก ส่วนจีนและญี่ปุ่นกำลังตามไป
แน่นอนว่าสำหรับจรวดใช้ซ้ำ ถ้าเอามาพูดกัน ณ วันนี้ มันก็ไม่ใช่อะไรที่แปลกใหม่แต่ก็ยังเป็นเรื่องน่าทึ่งทุกครั้งที่มีอะไรแบบนี้เกิดขึ้น ซึ่งในปีนี้ก็ถือว่าครบรอบ 10 ปีพอดีที่จรวด Falcon 9 ของ SpaceX และจรวด New Shepard ของ Blue Origin ประสบความสำเร็จในการกลับมาลงจอด กลายเป็นจรวดเชิงพาณิชย์กลุ่มแรกของโลกที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำด้วยการกลับมาลงจอดในแนวดิ่ง แต่ตลอดทศวรรษที่ผ่านมาก็ดันมีแต่ Flacon 9 เนี่ยแหละที่เป็นจรวดระดับส่งของขึ้นสู่วงโคจรที่สามารถกลับนำมาใช้ซ้ำได้ แถมปีหลัง ๆ ก็มีแต่ละบินถี่และมีลูกเล่นที่มากขึ้นจนปีนี้ปีเดียวจรวด Falcon 9 ได้ขึ้นบินไปแล้ว 166 เที่ยวบิน และในปีนี้ก็ถือเป็นปีที่ Falcon 9 มีจำนวนเที่ยวบินเกิน 500 เที่ยวบินได้ซักที

แต่ในปีนี้และหลังจากนี้ Falcon 9 จะไม่ใช่จรวดรุ่นเดียวแล้วที่จะสามารถทำเรื่องแบบนี้ได้จากการมาถึงของจรวด New Glenn ของบริษัท Blue Origin ที่เป็นตระกูลจรวดรุ่นแรกของบริษัทที่จะสามารถส่งของขึ้นสู่วงโคจรได้ ซึ่งแตกต่างจาก New Glenn ที่เป็นเพียงจรวดระกับ Suborbital สามารถทำได้เพียงการบินคาบเส้น Karman line เท่านั้น โดยในปีนี้ตัวจรวด New Glenn ได้ทำการบินถึงสองเที่ยวบิน ที่แม้ว่าทั้งสองเที่ยวบินจะประสบความสำเร็จในการพา Payload ขึ้นสู่วงโคจรแต่ในเที่ยวบินแรกเมื่อวันที่ 16 มกราคม ตัวท่อนจรวดบูสเตอร์กลับระเบิดขณะร่อนกลับสู่โลก ซึ่ง Blue Origin ก็กลับมาแก้มือได้สำเร็จในภารกิจที่สองเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ด้วยการพาท่อนบูสเตอร์กลับมาลงจอดบนเรือโดรน Jacklyn (คล้ายกับเรือโดรนของ SpaceX แต่ลำใหญ่กว่ามาก)
Blue Origin ประสบความสำเร็จใน New Glenn เที่ยวบินแรก แต่ยังลงจอดบูสเตอร์ไม่สำเร็จ
นอกจากนี้แล้ว หลังความสำเร็จของการลงจอดของ New Glenn ทำให้ทาง Blue Origin ได้ประกาศ Lineup จรวดตระกูล New Glenn แยกออกมาเป็นสองรุ่นหลักประกอบด้วยรุ่น New Glenn 7×2 ที่เป็นรุ่นที่ถูกใช้งานไปแล้วในปีนี้ โดยมันเป็นรุ่นที่มีเครื่องยนต์ BE-4 ในจรวดท่อนบูสเตอร์ 7 เครื่องและเครื่องยนต์ BE-3U ในจรดวท่อนบน 2 เครื่อง และรุ่น New Glenn 9×4 ที่มันจะมีเครื่องยนต์ BE-4 ทั้งหมด 9 เครื่องยนต์ในจรวดท่อนบูสเตอร์และเครื่องยนต์ BE-3U ทั้งหมด 4 เครื่องในจรวดท่อนบน ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของบริษัทในการทำธุรกิจในตลาดระดับที่มีความจำเป็นต้องใช้จรวดระดับ Heavy ไปจนถึง Super Heavy ที่จะมีบทบาทสำคัญอย่างมาในกิจกรรมทางอวกาศของสหรัฐฯ ในอนาคต
Blue Origin ปล่อย New Glenn เที่ยวบินสองและประสบความสำเร็จในการลงจอดบนเรือ Jacklyn


ในขณะเดียวกันเอง Starship ของ SpaceX ในปีนี้ แม้ว่าจะยังไม่ได้อยู่ในจุดที่เป็นจรวดระดับ Operational แต่ก็มีความคืบหน้ามาพอสมควร เพราะหลังจากความสำเร็จในการนำท่อนบูสเตอร์อย่าง Super Heavy กลับมาลงจอดบนแขนคีบบน Orbital Launch Platform ในปีที่แล้ว ในปีนี้ทาง SpaceX ก็ได้เข็นจรวด Starship รุ่นใหม่อย่าง Starship Block 2 ออกมาทดสอบ โดยในรุ่นนี้จะเน้นไปที่การวางระบบท่อเชื้อเพลิงและท่อความดันรูปแบบใหม่เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในรุ่น Block 1 อย่างการที่เชื้อเพลิงไปไม่ถึงเครื่องยนต์ทุกเครื่อง ส่งผลให้ตัวยานและท่อนบูสเตอร์อาจสูญเสียการควบคุมโดยเฉพาะกับการลงจอด รวมทั้งมีการทดสอบติดตั้งกลไลดีดตัวดาวเทียม Starlink ไว้ในทุกภารกิจที่เกิดขึ้นในปีนี้
สรุปการทดสอบ Starship เที่ยวบิน 11 ปิดฉากการทดสอบรุ่น Block 2 อย่างสมบูรณ์แบบ
โดยในปีนี้ SpaceX ได้ทำการทดสอบ Starship ไปถึงห้าเที่ยวบิน ที่น่าสนใจคือในปีนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ท่อนบูสเตอร์ Super Heavy ถูกนำกลับมาบินซ้ำด้วยกันถึงสองครั้ง ซึ่งการใช้ซ้ำที่ว่าไม่ใช่แค่การถอดเครื่องยนต์จากบูสเตอร์ลำหนึ่งไปไว้อีกลำ แต่เป็นการนำบูสเตอร์ทั้งแท่งกลับมาบินซ้ำ อย่างไรก็ตามในสามเที่ยวบินแรกตัวจรวดส่วนยาน Starship กลับประสบปัญหาใหญ่ในการออกแบบในเรื่องของการรั่วไหลของเชื้อเพลิงระหว่างการบินทำให้ขณะฝ่ากลับสู่ชั้นบรรยากาศตัวยานกลับระเบิดเนื่องสูญเสียการควบคุม แต่ปัญหาก็ได้รับการแก้ไขในสองภารกิจหลังที่ต่างประสบความสำเร็จตามเป้าหมายของ SpaceX ทำให้ทางบริษัทเลือกที่จะปลดประจำการ Starship Block 2 ก่อนที่จะไปกันต่อกับ Block 3 ซึ่งจะเป็นรุ่นที่เข้าใกล้ร่างขั้นสมบูรณ์ของ Starship ในปี 2026 ที่ถูกวางแผนไว้ถึงเก้าเที่ยวบินและจะเป็นครั้งแรกที่ตัวจรวดจะได้บินขึ้นสู่วงโคจรซักที


นอกจากนี้และฝั่งสหรัฐฯ เองก็ยังมีบริษัทอีกหลายรายที่พุ่งเป้าไปที่จรวดใช้ซ้ำแต่ก็ยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนากันอีกมาก อย่างทางฝั่งของ Rocket Lab เองในปีนี้ก็ยังถือเป็นอีกปีที่จรวด Neutron ยังอยู่ในขั้นการพัฒนาแต่ในปีนี้ก็มีความคืบหน้าอย่างชัดเจนโดยเฉพาะกับเรื่องของฝาครอบที่จะต้องเปิดและปิดเองได้และเครื่องยนต์ Archimedes ที่สามารถไปถึงขั้นการทดสอบจุดระเบิดได้แล้ว เรียกได้ว่าอยู่ในโค้งสุดท้ายของการพัฒนาแล้ว และหากไม่มีอะไรผิดพลาดทางบริษัทได้วางแผนการบินครั้งแรกในปี 2026
ส่วนฝั่งของ Relativity Space ในปีนี้ก็กำลังซุ่มพัฒนาจรวด Terran R อย่างเต็มที่หลังทิ้ง Contract ของจรวด Terran 1 ทั้งหมดเพื่อหันหาจรวดใช้ซ้ำแบบเต็มตัว ในขณะเดียวกันบริษัทน้องใหม่ในวงการอย่าง Stoke Space ในปีนี้ก็เน้นไปที่การขยายสถานที่การผลิตและพื้นที่ทดสอบ Hardware ของจรวด Nova จรวดที่ถูกออกแบบให้สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ทั้งท่อนบูสเตอร์และท่อนบนที่ในตอนนี้ก็อยู่ในโค้งสุดท้ายของการพัฒนาเหมือนกับ Rocket Lab และคาดว่าจะมีการบินขึ้นครั้งแรกในปี 2026 ส่วนฝั่งของ ULA ที่โม้เรื่องเทคโนโลยีการนำแค่เครื่องยนต์กลับมาใช้ซ้ำของจรวด Vulcan Centaur อย่าง Sensible Modular Autonomous Return Technology หรือ SMART นั้น ก็ขอให้ช่างมันเถอะ เพราะ Tory Bruno ก็กระโดดจากเก้าอี้ CEO ของ ULA ไปนั่งบริหารให้ Blue Origin แล้ว (ฮา)

ในส่วนของฝั่งจีน ในปีนี้เองมีจรวดถึงสองรุ่นด้วยกันที่มีความพยายามนำกลับมาลงจอดแบบแนวดิ่ง โดยฝั่งของภาคเอกชนอย่างบริษัท LandSpace ได้พยายามนำจรวดรุ่นใหม่ของตัวเองอย่าง Zhuque-3 กลับมาลงจอด โดยแม้ว่าตัวจรวดจะสามารถนำ Payload ขึ้นสู่วงโคจรได้สำเร็จตัวจรวดท่อนบูสเตอร์กลับทำงานผิดพลาดขณะตอนจุดระเบิดเครื่องยนต์สำหรับขั้นตอนการลงจอดทำให้ตัวท่อนบูสเตอร์ตกกระแทกฐานลงจอดและระเบิดในที่สุด แต่ก็นับได้ว่าเป็นความพยายามและ Milestone ที่สำคัญต่อภาคเอกชนของอุตสาหกรรมการบินอวกาศจีน
ลำดับเหตุการณ์การทดสอบจรวด Zhuque-3 กับความหวังในการนำจรวดกลับมาใช้ใหม่ของจีน
ตามมาด้วยความพยายามของภาครัฐอย่างจรวด Long March 12A ซึ่งเป็นจรวดรุ่นสำหรับใช้ซ้ำที่ถูกต่อยอดมาจากจรวด Long March 12 หนึ่งในจรวดรุ่นใหม่ของ CASC ที่พัฒนามาเพื่อโครงการอวกาศยุคถัดไปของจีนที่จะเน้นการสำรวจดวงจันทร์และดาวอังคารมากขึ้น ในปีนี้แม้จะขึ้นบินเพียงครั้งเดียวเหมือนกับ Zhuque-3 แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายที่ตัวจรวดก็ไม่สามารถกลับมาลงจอดได้เช่นกัน นอกจากนี้แล้วทางฝั่งของจีนเองก็มีจรวดอีกหลายรุ่นที่กำลังอยู่ภายใต้การพัฒนาให้สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นจรวดตระกูล Long March ในรุ่น 8 และ 9 หรือแม้แต่ทางฝั่งเอกชนเองก็มีจรวด Tianlong-3 ของ Space Poineer ที่มีประเด็นจรวดหลุดออกจากญานทดสอบไปเมื่อปีก่อน จรวด Hyperbola-3 จาก iSpace หรือแม้แต่ Nebula-1 จากทาง Deep Blue Aerospace และเราอาจจะได้เห็นอะไรแบบนี้กันมากขึ้นในปีหน้า
จรวดจีน Long March 12A ทดสอบลงจอดครั้งแรกสำคัญอย่างไร


ในส่วนของฝั่งญี่ปุ่นเอง ถึงจะไม่ได้มีผลงานที่โดดเด่นในเรื่องของงานด้านการบินอวกาศแต่ในปีนี้ก็ได้มีหน้าใหม่รุ่นสูงวัยเข้ามาลองเล่นจรวดที่สามารถกลับมาลงจอดเองได้เช่นกันอย่าง Honda ที่แม้ว่าทางบริษัทเองมีบริษัทลูกอย่าง Honda Aircraft Company ที่มีผลงานในการพัฒนาและผลิตเครื่องบินส่วนตัว แต่ประเด็นที่น่าสนใจคือในการพัฒนาจรวดของ Honda ในครั้งนี้เกิดขึ้นภายใต้การดูแลของทีม Honda R&D สาขาญี่ปุ่น โดยจรวดที่ได้มีปล่อยในครั้งนี้เป็นเพียงรุ่นต้นแบบที่ใช้ทดสอบเทคโนโลยีพื้นฐานสำหรับจรวดสามารถกลับมาลงจอดได้เอง ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ขาลงจอด ครีบตะแกรงสำหรับการใช้ควบคุมทิศทางการตก หรือแม้แต่ระบบควบคุมการเคลื่อนที่ที่ต้องทำงานร่วมกับเครื่องยนต์เพื่อช่วยให้ตัวจรวดสามารถลงจอดในจุดที่กำหนดไว้ได้อย่างแม่นยำ

และแน่นอนว่าแม้จะมีการทดสอบเพียงแค่ครั้งเดียวแต่ผลการทดสอบก็ประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดี โดยในการทดสอบดังกล่าวตัวจรวดได้ลงจอดห่างออกไปจากจุดลงจอดเพียง 37 เซนติเมตร แม้จะไม่ได้แม่นยำระดับครึ่งเซนติเมตรแบบ Super Heavy ของ Starship แต่ในการทดสอบครั้งนี้ก็ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการพัฒนาจรวดของญี่ปุ่น
Honda ประสบความสำเร็จในการทดสอบจรวดบินขึ้นลงแนวดิ่ง
ภารกิจสำรวจระบบสุริยะในปีนี้เน้นหว่านแหมากกว่าแค่ดวงจันทร์
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาจนถึงปีที่แล้ว เราจะเห็นได้ว่าทั้งสหรัฐฯ จีน อินเดีย หรือแม้แต่ญี่ปุ่นต่างให้ความสนใจการสำรวจดวงจันทร์ที่จะเน้นไปที่ขั้วใต้และด้านไกลของดวงจันทร์ซึ่งสมัยก่อนไม่ค่อยมีการนำยานสำรวจไปไปลงจอดในพื้นที่บริเวณนั้นกันเท่าไหร่ ประกอบกับความต้องการกลับไปเยือนดวงจันทร์ของสหรัฐฯ ที่นำโดยโครงการ Artemis ที่ทางจีนก็ดูอยากแข่งขันด้วย ทำให้ก็อย่างที่เห็น ตั้งแต่ปี 2020 จนถึง 2024 ไฮไลต์เด็ดส่วนใหญ่ในฝั่งของการสำรวจระบบสุริยะมักจะไปกองกันที่ดวงจันทร์
ในปี 2020 เราได้รู้จักกันไปแล้วกับภารกิจ Tianwen-1 ที่เป็นภารกิจสำรวจดาวอังคารขององค์การอวกาศจีน ในปีนี้จันได้ส่งยานอวกาศในภารกิจ Tianwen-2 ที่ในครั้งนี้ได้มุ่งเน้นไปที่ภารกิจรูปแบบ Sample return และการสำรวจดางหาง โดยมันได้ถูกส่งขึ้นสู่อวกาศเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2025 ด้วยจรวด Long March 3B ในขั้นต้นมันจะเดินทางไปที่ดาวเคราะห์น้อย 469219 Kamoʻoalewa ซึ่งเป็นหนึ่งในวัตถุ Near Earth object ที่มีวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ร่วมกันกับโลก (Co-orbital) โดยตัวยานจะเก็บเกี่ยวตัวอย่างหินของดาวเคราะห์น้อยดวงดังกล่าวด้วยวิธี Anchor-and-Attach แบะ Touch-and-Go โดยคาดว่าตัวยานจะสามารถนำตัวอย่างหินกลับมาถึงโลกได้ภายในปี 2027 ก่อนที่จะเดินทางต่อเพื่อไปสังเกตพฤติกรรมของดวงหาง 311P/PanSTARRS ซึ่งคาดว่าจะเดินทางไปถึงในปี 2035
สรุปและเจาะลึก Tianwen-2 ภารกิจเก็บตัวอย่างดาวเคราะห์น้อยของจีน

ในส่วนของภารกิจการสำรวจดาวอังคารในปีนี้ นอกจากที่ตัวจรวด New Glenn จะประสบความสำเร็จในการกลับมาลงจอดได้ครั้งแรกในภารกิจที่สองซึ่งกลายเป็นหนึ่ง Event ที่สำคัญของวงการการบินอวกาศของปีนี้ ตัว Payload เองก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ในภารกิจนี้ตัวจรวดได้ทำการส่งยานอวกาศฝาแฝดในชื่อ ESCAPADE หรือ Escape and Plasma Acceleration and Dynamics Explorers เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2025 เพื่อเดินทางไปสำรวจดาวอังคาร โดยมันเป็นยานอวกาศที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยบริษัท Rocket Lab ซึ่งเป้าหมายภารกิจก็ตามชื่อเต็มของมันคือการเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของสนามแม่เหล็กดวงอังคารเพื่อศึกษาผลกระทบของลมสุริยะต่อสนามแม่เหล็กที่เป็นสาเหตุของการสูญเสียชั้นบรรยากาศ โดยมันถือเป็นภารกิจภายใต้โครงการ Small Innovative Missions for Planetary Exploration หรือ SIMPLEx โครงการพัฒนาเทคโลยีสำรวจอวกาศทุนต่ำของ NASA
EscaPADE ภารกิจสำรวจดาวอังคารต้นทุนต่ำของ NASA ที่ใช้เงินแค่ 70 ล้านเหรียญฯ
และถึงจะไม่ใช่ยานอวกาศที่ถูกปล่อยในปีนี้ แต่ปีนี้เองถือเป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นภาพถ่ายของขั้วใต้ของดวงอาทิตย์ที่ถูกถ่ายโดยยาน Solar Orbiter ของ ESA โดยปกติแล้วภาพถ่ายดวงอาทิตย์ส่วนใหญ่มักจะมาจากยานที่อยู่ในระนาบการโคจรแบบระนาบสุริยะวิถี ซึ่งจะทำให้เราได้เห็นแค่ภาพของดวงอาทิตย์ที่เอียงจากเส้นศูนย์สูตรของดวงอาทิยต์ราว 7.25 องศา แต่ยาน Solar Orbiter กลับทำเรื่องที่น่าเหลือเชื่อด้วยการเปลี่ยนมุมโคจรรอบดวงอาทิตย์ของตัวเองขึ้นไปที่ 17 องศาของระนาบการโคจรด้วยวิธีการทำ Gravity assist หรือภาษาบ้าน ๆ คือ Slingshot กับดาวศุกร์ โดยภาพดังกล่าวถูกถ่ายขึ้นในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

ในส่วนของภารกิจสำรวจดวงจันทร์ในปีนี้ก็ยังมีส่งยานอวกาศไปเยือนบ้างอย่าง Blue Ghost Mission 1 ของบริษัท Firefly Aerospace เองก็เป็นยานลงจอดดวงจันทร์ภายใต้โครงการ Commercial Lunar Payload Services ของ NASA ถูกส่งขึ้นโดยจรวด Falcon 9 เมื่อวันที่ 15 มกราคม โดยได้ลงจอดลงบนที่ราบ Crisium ที่ให้มันกลายเป็นยานอวกาศของบริษัทเอกชนลำแรกที่สามารถลงจอดลงบนดวงจันทร์ได้โดยไม่คว่ำหรือพังระหว่างทางไปซะก่อน ในส่วนของภารกิจของมันคือการทดลองเทคโนโลยีและร่วมรวมข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ของบริเวณพื้นที่ลงจอดเพื่อนำไปต่อยอดสู่ภารกิจของโครงการ Artemis ในอนาคต
เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์จรวด Falcon 9 ก็ได้ขึ้นบินเพื่อส่งยานไปลงจอดบนดวงจันทร์อีกครั้งกับภารกิจ IM-2 กับยาน Nova-C “Athena” โดยมันเป็นยานลงจอดภายใต้โครงการ Commercial Lunar Payload Services อีกลำที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยบริษัท Intuitive Machines โดยได้ลงจอดลงบน Mons Mouton หนึ่งในเขาที่สูงที่สุดบนดวงจันทร์ อย่างไรก็ตามขณะลงจอดตัวยานกลับประสบปัญหาขณะสัมผัสพื้นทำให้ตัวยานล้มหน้าที่ฝุ่นดวงจันทร์ ทำให้ Payload ที่ติดไปกับยานไม่สามารถได้เต็มประสิทธิภาพ และภารกิจก็จบลงเมื่อแบตเตอรี่บนยานหมดลงซึ่งก็ไม่ต่างจากภารกิจที่แล้วอย่าง IM-1 เมื่อปี 2024 เท่าไหร่

ในเที่ยวบินเดียวกันของ Falcon 9 นีัเองก็ได้มียานอีกสองลำที่ได้ร่วมเดินทางไปด้วยอย่าง Brokkr-2 จากบริษัท AstroForge โดยมันเป็นยานสำรวจขนาดเล็กที่ถูกส่งขึ้นไปเพื่อศึกษาดาวเคราะห์น้อยใกล้โลกที่โฟกัสไปที่การหาองค์ประกอบโลหะในดาวเคราะห์น้อย แต่ก็จบลงที่ความล้มเหลงจากปัญหาของระบบสื่อสาร และยังมีอีกลำอย่าง Lunar Trailblazer ยานอวกาศภายใต้โครงการ SIMPLEx ของ NASA อีกลำที่ถูกส่งขึ้นสู่อวกาศในปีนี้ โดยเป้าหมายคือการสำรวจตำแหน่งและศึกษาความเป็รไปได้ของวงจรการเกิดของน้ำบนดวงจันทร์ แต่ภารกิจก็กลับล้มเหลวเนื่องจากปัญหาของการสื่อสารเช่นกัน


Hakuto-R Mission 2 นับเป็นความพยายามครั้งที่สองของบริษัทเอกชนญี่ปุ่น ispace (ใช่ มันเขียนแบบนี้ คนละอย่างกัน i-Space ที่เป็นบริษัทจรวดจีน) หลังจากความล้มเหลวในการลงจอดของยานในภารกิจ Hakuto-R Mission 1 เมื่อปี 2022 ที่ในครั้งนี้ตัวยานได้นำรถสำรวจดวงจันทร์อย่าง RESILIENCE และ TENACIOUS โดยมึจุดลงจอดอย่างที่บริเวณที่ราบ Frigoris แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายที่ภารกิจนี้ก็เป็นอีกครั้งที่ประสบความล้มเหลวด้วยการตกกระแทกพื้นดวงจัยทร์เนื่องจากปัญหาของการสื่อสารระหว่างภาคพื้นกับตัวยาน
Hakuto-R Mission 2 สูญเสียการติดต่อระหว่างลงจอดบนดวงจันทร์
จรวดจากภาคเอกชนในยุโรปที่หลายคนอาจต้อง “เอ๊ะ มีมากกว่านี้เหรอวะ”
เราเองก็ได้ยินมาพักใหญ่แล้วเหมือนกันที่ว่าฝั่งของยุโรปเองก็เริ่มมีการตั้งบริษัทจรวดเอกชนขึ้นมาหยิบมือหนึ่ง ปกติเราจะเคยได้ยืนแต่ Arianespace ที่เป็นเหมือน MHI ที่เป็นยักษ์ใหญ่ในวงการจรวดของญี่ปุ่น แต่ดูเหมือนว่าทั้งยุโรปและญี่ปุ่นดันมีอะไรที่คล้ายกันมากกว่าที่คิด เพราะทั้งสองเองก็ต่างมาบริษัทเอกชนรายเล็กที่เข้ามาร่วมวงอยากมีจรวดกันเค้าด้วย มาดูกันว่าในปีนี้มีอะไรเกิดขึ้นบ้างกับวงการจรวดของยุโรป
สำหรับจรวด Ariane 6 แม้มันจะเป็นจรวดที่ขึ้นบินครั้งแรกเมื่อปลายปี 2024 ที่ในครั้งนั้นประสบความล้มเหลวในขั้นสุดท้ายของการทดสอบจรวด ที่ล้มเหลวในการจุดระเบิดเครื่องยนต์ของจรวดท่อนบนอีกครั้งหลังปล่อยดาวเทียมเพื่อทำการลดความเร็วให้ตัวท่อนจรวดตกกลับแล้วเผาไหม้ไปกับชั้นบรรยากาศ ในปีนี้เองมันได้ขึ้นบินอีกครั้งและสามารถจุดเครื่องยนต์เพื่อลดความเร็วของท่อนจรวดหลังเสร็จสิ้นภารกิจในการปล่อยดาวเทียม โดยรวมแล้วในปีนี้ก็ปล่อยไปถึง 4 ภารกิจโดยไม่มีอะไรผิดพลาดซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีของอนาคตของจรวดรุ่นนี้ ในส่วนของปีหน้าจะมีการปล่อยจรวดรุ่นย่อยตัวใหม่ของมันอย่าง Ariane A64 ที่จะมีการติดตั้งท่อนจรวดเชื้อเพลิงแข็งถึงสี่ท่อน
ในส่วนของม้างานตัวเล็กอีกตัวอย่าง Vega C ซึ่งเป็นร่างอัพเกรดของ Vega รุ่นดั้งเดิม (ที่ใช้ส่งดาวเทียม THEOS-2) ที่เพิ่งปลดประจำการไปเมื่อปีที่แล้ว ในปีนี้ก็ถือเป็นการเปลี่ยนมาใช้ Vega C เต็มตัวที่ประสบความสำเร็จทั้ง 3 ภารกิจ โดยในปีนี้มีหลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้นกับจรวดรุ่นนี้ โดยเดิมทีแล้วบริษัท Avio จะเป็นเพียงผู้ผลิตจรวดแล้วมี Arianespace เป็น Operator แต่ในช่วงปลายปี 2024 ที่ผ่านมาโครงการอวกาศยุโรปหรือ ESA ได้ตัดสินใจให้ Avio มีอำนาจในการใช้งานจรวดรุ่นนี้เองแบบเต็มตัวโดยไม่ต้องผ่านบริษัทภายนอกเข้ามาเป็น Operator โดยการดำเนินการโอนถ่ายอำนาจแล้วเสร็จในปีนี้ ดูเหมือนว่าฝั่งยุโรปเองก็เริ่มมีมุมมองที่จะให้ภาคเอกชนมีอำนาจในการพัฒนาจรวดและสามารถใช้งานในเชิงพาณิชย์ได้ด้วยตัวเองเหมือนกับอุตสาหกรรมจรวดฝั่งสหรัฐฯ


และในที่สุดยุโรปก็เริ่มพยายามก้าวออกมาจากเงาของ Arianespace แล้วเมื่อ Isar Aerospace บริษัทจรวดเอกชนสัญชาติเยอรมันได้พยายามปล่อยจรวด Spectrum จรวดเชื้อเพลิงเหลวประเภท Small-lift launch vehicle ที่มีศักยภาพในการส่งของหนัก 1,000 กิโลกรัมไปที่วงโคจรต่ำของโลกและ 700 กิโลกรัมไปที่วงโคจร Sun-synchronous orbit โดยความพยายามดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 30 มีนาคมที่ผ่านมาที่ฐานส่ง Andøya Spaceport แต่กลับจบลงที่จรวดสูญเสียการควบคุมเพียง 18 วินาทีหลังจากจรวดถูกปล่อยออกจากฐานและตกลงสู่ชายหาดใกล้กับฐานส่ง นับเป็นความพยายามแรกที่เป็นสัญญาณว่าเรากำลังจะได้เห็นบทบาทของจรวดจากภาคเอกชนยุโรปที่อาจจะขึ้นมามีความสำคัญในอนาคต

รัสเซีย อินเดีย ณี่ปุ่น เกาหลีใต้ ส่งน้อยแต่ชัดเจน
รัสเซียในปีนี้สถานการณ์ค่อนข้างน่าเป็นห่วงในเรื่องของโครงการอวกาศโดยภาพรวม เพราะโดยปกติแล้วในช่วงทศวรรษที่ผ่านมารัสเซียเป็นชาติที่ส่งจรวดปีนึงก็ราว ๆ 20 ถึง 25 เที่ยวบิน แม้จะไม่ใช่เลขที่สูงมากแต่อย่าลืมกว่าก่อนที่สหรัฐฯ จะมีม้างานที่ใคร ๆ ก็อยากใช้อย่าง Flacon 9 และจีนที่มาทุ่มงบประมาณให้กับโครงการอวกาศจนผลผลิตเริ่มงอนงามในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา รัสเซียก็เป็นอีกชาติที่ถือได้ว่าส่งจรวดเยอะที่สุดชาติหนึ่งของโลก แต่กลับกลายเป็นว่าพอโดนวิกฤต COVID-19 เข้าไปก็มีเสียสูญระดับหนึ่ง ประกอบกับการรุกรานยูเครนและการสงครามก็ทำให้นานาชาติต่างยกมาตราการคว่ำบาตร ในวงการอวกาศก็ทำให้มีการยกเลิกเที่ยวบินเชิงพาณิชย์กับรัสเซียไปบ้าง ทำให้ในช่วงหลังมารัสเซียมีสถิติอัตราการปล่อยจรวดที่ดูจะไม่ค่อยเติบโตเท่าไหร่ ไหนจะมีช่วงหนึ่งที่เกือบโดนคาซักสถานยึดสถานที่และจรวดเพราะค้างค่าเช่าที่อีก (ฮา) แสดงให้เห็นว่าสถานะทางการเงินของรัสเซียก็ดูไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ ทำให้ในปีที่ผ่านมารัสเซียดปล่อยจรวดไปได้เพียง 16 เที่ยวบิน ซึ่งสวนทางกับชาติอื่น ๆ ที่มีแนวโน้มที่จะสูงขึ้น

และจากเหตการณ์ฐานปล่อย Site 31 ใน Baikonur Cosmodrome คาซักสถานได้รับความเสียหายหลังการปล่อยยานในภารกิจ Soyuz MS-28 ทำให้รัสเซียสูญเสียเส้นทางการบินขึ้นสู่สถานีอวกาศนานาชาติแห่งเดียวที่มีอยู่ไป ซึ่งมันได้สร้างผลกระทบให้กับตารางการทำงานของสถานีอวกาศทั้งในเรื่องการผลัดเปลี่ยนลูกเรือและการเติมเสบียง ซึ่งทำให้แม้แต่ฝั่งสหรัฐฯ เองยังต้องรื้อตารางงานเดิมที่วางแผนไว้เพื่อปรับให้เข้ากับปัญหาที่เกิดขึ้นกับฝั่งรัสเซีย ก็เรียกได้ว่าเป็นปีซวยของรัสเซียสุด ๆ อย่างไรก็ตามในช่วงนี้รัสเซียเองก็เข้าสู่โค้งสุดท้ายของการพัฒนาจรวดรุ่นใหม่อย่าง Soyuz-5 จรวดระดับ Medium-lift launch vehicle ที่พัฒนามาเพื่อแทนที่จรวด Zenit ที่ขึ้นบินครั้งล่าสุดเมื่อปี 2017 โดยทาง Roscosmos ได้วางแผนทดสอบจรวดรุ่นใหม่นี้ในไตรมาสแรกของปี 2026 ในขณะเดียวกันรัสเซียก็กำลังพัฒนาจรวดรุ่นใหม่อย่าง Soyuz-7 ซึ่งจะเป็นจรวดที่สามารถกลับมาลงจอดเองได้
ฐานปล่อยยาน Soyuz เสียหายหนักหลังจากภารกิจ Soyuz MS-28
อินเดียในปีนี้ก็เป็นชาติที่มีผลการทางด้านการบินอวกาศที่ชัดเจน ถึงจะไม่เยอะเท่าชาติอื่นแต่ก็มีความชัดเจนในเรื่องของโครงการอวกาศที่เน้นไปที่การทดลองและการส่ง Payload เชิง Scientific อย่างในปีนี้เององค์การอวกาศแห่งชาติของอินเดียหรือ ISRO ได้ประสบความสำเร็จในการส่งยานอวกาศขึ้นไปเชื่อมต่อกันเองบนอวกาศกับภารกิจ SpaDeX ถึงจะไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่เพราะหลาย ๆ ชาติก็เคยทำไปแล้ว แต่ภารกิจนี้ก็แสดงให้เห็นอีกครั้งว่าอินเดียเองก็มีศักยภาพพอในการยืนด้วยขาของตัวเองเพื่อสร้างมาตรฐานของตัวเองขึ้นมา และในอีกภารกิจหนึ่งอย่างการปล่อยดาวเทียม NISAR หรือ NASA-ISRO Synthetic Aperture Radar ก็เป็นดาวเทียมที่ถูกพัฒนาขึ้นผ่านความร่วมมือระหว่างสหรัฐฯ และอินเดียในการพัฒนาเทคโนโลยี Synthetic aperture radar ไว้ใช้ในการถ่ายภาพระยะไกล Remote sensing โดยดาวเทียมดวงนี้ก็นับได้ว่าเป็นดาวเทียมดวงแรกที่ใช้เทคโนโลยีการถ่ายภาพด้วยคลื่นวิทยุด้วยชุดความถี่คู่หรือ Dual-band

เจาลึกความพยายามของอินเดียในการเชื่อมต่อยานในอวกาศ กับภารกิจ SpaDeX
ในส่วนของญี่ปุ่น ในปีนี้เองถึงจะมีข่าวใหญ่อย่างการที่ Honda ประสบความสำเร็จในการทดสอบนำจรวดกลับมาลงจอดแต่ก็ไม่ได้ถึงกับเป็นงานใหญ่แบบพวกจรวดระดับ Orbital แต่ในส่วนของจรวดขึ้นวงโคจรเองในปีนี้เป็นปีที่ญี่ปุ่นได้ส่งจรวด H-IIA เป็นครั้งสุดท้ายทำให้ในปี 2025 ถือเป็นการปิดตำนานจรวดตระกูล H-II ของญี่ปุ่นหลังเป็นจรวดหลักในการส่ง Payload สำคัญหลายชิ้นมานานร่วม 32 ปี ทำให้หลังจากนี้ H3 จะกลายเป็นจรวดหลักของโครงการอวกาศของญี่ปุ่นแบบเต็มตัวด้วยเทคโนโลยีที่ใหม่กว่าและประหยัดได้มากกว่า

อย่างไรก็ตามในปีนี้เองญี่ปุ่นก็ได้สูญเสียจรวด H3 อีกครั้งในเที่ยวบินที่แปด ซึ่งเป็นความล้มเหลวครั้งแรกนับตั้งแต่ความล้มเหลวที่เกิดขึ้นในปี 2023 โดยความล้มเหลวดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 ธันวาคมที่สาเหตุเกิดจากความดันที่ลดลงอย่างผิดปกติในจรวดท่อนที่สอง มีการจุดระเบิดนานเกิดเวลาที่กำหนดไว้ถึง 27 วินาทีในการจุดระเบิดครั้งแรก และมีการจุดระเบิดครั้งที่สองเพียงวินาทีเดียว ทำให้ตัว Payload และท่อนจรวดติดอยู่ที่วงโคจรต่ำของโลก ในขณะที่ภารกิจดังกล่าวมีเป้าหมายที่วงโคจร Geostationary transfer orbit หรือ GTO
โครงการจรวด H3 สะดุดอีกครั้งหลังภารกิจนำส่งดาวเทียม QZS-5 ล้มเหลว
นอกจากนี้ในปีนี้เองญี่ปุ่นก็ประสบความสำเร็จในการนำส่งยานอวกาศสำหรับเติมเบียงสถานีอวกาศนานาชาติในรุ่น HTV-X สำเร็จ HTV-X ถือเป็นยานอวกาศที่ได้รับการต่อยอดมาจากยาน H-II Transfer Vehicle หรือ HTV ที่ขึ้นบินครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2020 โดยมันได้รับการออกแบบใหม่หมดรื้อสถาปัตยกรรมใหม่ กลายเป็นยานรุ่นใหม่ที่ถูกพัฒนามาเพื่อใช้ส่งกับจรวดรุ่นใหม่อย่าง H3 ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยแนวคิดเดียวกันที่สามารถสรุปออกมาได้ว่า “Payload capacity ต้องไม่ต่างจากเดิมแต่ควรง่ายขึ้นและถูกลง” นอกจากนี้แล้วยาน HTV-X จะเป็นยานที่วางรากฐานให้กับระบบการเติมเสบียงของสถานีอวกาศ Lunar Gateway ในอนาคต โดยในการส่งยานในครั้งนี้ทำให้ JAXA และ Mitsubishi ได้ใช้จรวด H3 รุ่นย่อยใหม่เป็นครั้งแรกอย่าง H3-24W ซึ่งเป็นรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ LE-9 ในจรวดท่อนแรกสองเครื่อง ใช้ท่อนจรวดเชื้อเพลิงแข็งสี่ท่อน และใช้ฝาครอบ Payload แบบ W หรือ Wide
เจาะลึกทุกรายละเอียด HTV-X ยานส่งเสบียงสู่สถานีอวกาศแห่งอนาคตของญี่ปุ่น


ในส่วนของเกาหลีเองที่ในปีนี้มีแต่เกาหลีใต้ที่ส่งจรวดและมีการส่งจรวดเพียงสองครั้ง โดยทางฝั่งของภาครัฐจะมีจรวดที่มีจรวด Nuri หรือ Korean Space Launch Vehicle-II ได้ประสบความสำเร็จอีกครั้งหลังการปล่อยครั้งล่าสุดในปี 2023 โดย Payload ส่วนใหญ่แล้วเป็นของที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยอุตสาหกรรมในประเทศ นอกจากนี้แล้วหลังการจัดตั้งองค์การอวกาศใหม่อย่าง Korea AeroSpace Administration หรือ KASA ก็ยังมีจรวดรุ่นใหม่ที่กำลังอยู่ภายใต้การพัฒนาอย่าง Korean Space Launch Vehicle-III ที่ได้วางแผนปล่อยครั้งแรกในปี 2030 และในปีนี้เองยังมีการปล่อยจรวดอีกรุ่นที่เกิดจากความพยายามของภาคเอกชน ซึ่งขอเก็บไว้เล่าในหัวข้อถัดไป
จรวดไฮบริด กับความพยายามครั้งแรกในการไต่สู่วงโคจร
ในปีนี้ก็นับได้ว่าเป็นอีกปีที่จรวดไฮบริดยังคงได้รับการผลักดันอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้ถือเป็นความพยายามครั้งใหญ่ของวงการจรวดไฮบริดที่ในที่สุดก็มีคนกล้าที่จะพัฒนาให้มันกลายเป็นจรวดระดับ Orbital หลังถูกใช้งานในฐานะจรวด Sounding rocket เพื่อทดลอง Payload ทางวิทยาศาสตร์และเพื่อการท่องเที่ยว จรวดไฮบริดเอาแบบสั้น ๆ คือมันเป็นจรวดที่เป็นลูกผลมระหว่างจรวดเชื้อเพลิงแข็งและเชื้อเพลิงเหลว โดยหลักการของจรวดไฮบริดคือในตัวของเครื่องนต์มันจะต้องมีส่วนที่เป็นของเข็งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเชื้อเพลิงซึ่งมันต้องเป็นของที่เผาไหม้ได้ยากเมื่อโดนอากาศ และจะต้องมีของเหลวที่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นสารออกซิไดซ์แยกออกมาบรรจุไว้ในถัง เวลาจะจุดระเบิดก็พ่นสารออกซิไดซ์ออกมาให้สัมผัสกับแท่งเชื้อเพลิงเพื่อให้เกิดการสันดาปและขยายตัวเป็นแก๊สความดันสูง (อารมณ์แบบเอาไฟไปเผาแท่งอะคริลิคแล้วเอาออกซิเจนอัดนั่นแหละ)
รู้จักกับจรวด Hybrid ระบบขับดันลูกครึ่งกับอนาคตใหม่ของวงการ Spaceflight
ต่อจากที่ทิ้งท้ายไว้ในหัวข้อที่แล้ว ในปีนี้เองเกาหลีใต้ก็ได้ปล่อยจรวดอีกรุ่นหนึ่งที่ในครั้งนี้ภาคเอกชนเป็นคนปล่อย โดยมันเป็นความพยายามของบริษัท Startup ชื่อ Innospace ทางบริษัทได้เลือกใช้เทคโนโลยีแบบจรวดไฮบริดเพราะมันประหยัดสำหรับการปล่อยของที่มีน้ำหนักไม่มาก โดยทางบริษัทได้ทำการทดสอบปล่อยจรวด HANBIT-NANO ที่สามารถส่งของหนักเพียง 90 กิโลกรัมไปที่วงโคจร Sun-synchronous orbit ที่ระดับความสูง 500 กิโลเมตร โดยในการทดสอบครั้งแรกของมันกลับประสบความล้มเหลวในการทดสอบเนื่องจากการระเบิดที่เกิดขึ้นหลังจรวดบินออกจากฐานไปราว 80 วินาที โดยสาเหตุของการระเบิดทางบริษัทไม่ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนไว้บนจดหมายแถลงการณ์ มีการกล่าวเพียงไว้แค่ว่าเชื้อเพลิงถูกเผาไหม้อย่างผิดปกติและยังไม่ทราบสาเหตุ อย่างไรก็ตามตัวจรวดได้ตกลงในพื้นที่ปลอดภัย และทางบริษัทกำลังเร่งหาสาเหตุเพื่อแก้ปัญหาสำหรับการทดสอบในเที่ยวบินถัดไปในครึ่งแรกของปี 2026

นอกจากบริษัทจากเกาหลีใต้แล้ว ทางฝั่ออสเตรเลียก็ไม่น้อยหน้าโดยความพยายามนี้เกิดขึ้นโดยบริษัท Gilmour Space Technologies ที่ก็มีเหตุผลที่คล้ายกันกับ Innospace และบริษัทแห่งอื่น ๆ ที่กำลังพัฒนาจรวดไฮบริด โดยในปีนี้เองทางบริษัทสามารถนำจรวด Eris-1 ออกมาปล่อยได้ซักทีหลังใช้เวลาพัฒนามาตั้งแต่ก่อนปี 2018 โดยมันเป็นจรวดที่สามารถส่งของหนัก 300 กิโลกรัมไปที่วงโคจรต่ำของโลก โดยทางบริษัทได้ปล่อยจรวดรุ่นดังกล่าวเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม นับเป็นความพยายามครั้งแรกในรอบ 50 ปีของออสเตรเลียในการปล่อยจรวดสู่วงโคจร ซึ่งก็เป็นที่น่าเสียดายอีกครั้งที่ในภารกิจนี้ถือเป็นความล้มเหลวในการไต่สู่วงโคจรของจรวดไฮบริด โดยสาเหตุนั้นยังไม่ได้รับการเปิดเผยสู่สาธารณะแต่ขณะออกตัวเครื่องยนต์กลับทำงานผิดปกติสร้างแรงขับไม่เพียงพอทำให้ตัวจรวดทั้งลำตกลงสู่พื้นเพียง 14 วินาทีหลังการปล่อย นอกจากนี้ทางบริษัทยังรายงานว่าถ้าสามารถวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้นได้แล้วจะทำการทดสอบจรวด Eris-1 อีกครั้งในปี 2026

เอาเป็นว่าถึงปีนี้จะยังไม่มีจรวดไฮบริดประสบความสำเร็จและมีการทำตลาดที่ชนกับจรวดเชื้อเพลิงเหลวขนาดเล็กหลาย ๆ รุ่นที่ประสบความสำเร็จไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่ถ้าหากมันไม่มีศักยภาพมันก็คงไม่มีใครอยากวิจัย พัฒนาและผลักดันใหัมันมาถึงจุดนี้เหมือนกัน แถมนอกจากนี้ข้อดีอีกข้อของจรวดไฮบริดคือถ้ามันเจ๊งตอนปล่อยมันจะไม่ระเบิดรุนแรงแบบจรวดเชื้อเพลิงเหลว (ฮา)
Human Spaceflight กับการเมืองสุดปาหี่
จากปัญหาของยาน Starliner ในปีที่แล้วจนต้องมีการปรับเปลี่ยนตารางการผลัดลูกเรือของสถานีอวกาศนานาชาติเนื่องจากปัญหาที่พบบานยานทำให้ทาง NASA ไม่กล้าเสี่ยงที่จะนำนักบินอวกาศ Barry Wilmore และ Sunita Williams กลับโลกพร้อมกับยาน แต่จนแล้วจนรอดก็มีการจัดสรรตารางเที่ยวบินการนำลูกเรือขึ้นลงสถานีอวกาศนานาชาติได้ในที่สุด รวมทั้งนักบินอวกาศทั้งสองที่มากับยาน Starliner ก็ไม่ได้ติดอยู่บนอวกาศเหมือนที่สื่อสมองกลวงทั้งไทยและเทศต่างประโคมข่าวกันในปีที่แล้ว เพราะทั้งคู่ต่างได้รับภารกิจให้ทำงานต่อบนสถานีอวกาศฯ ก่อนที่จะได้กลับโลกพร้อมกับยาน Crew Dragon ในภารกิจ SpaceX Crew-9 เมื่อช่วงกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

ปัญหาดูจะจบไปแล้วเป็นที่เรียบร้อยแต่กลับกลายเป็นว่ามันดันถูกยกมาเป็นประเด็นทางการเมืองในการโจมตีกันไปมา เพราะอย่าลืมว่าในช่วงที่ Starliner ประสบปัญหาจนต้องมีการรื้อตารางการหมุนเวียนลูกเรือกันยกใหญ่เกิดขึ้นในช่วงปลายเทอมของรัฐบาล Joe Biden ซึ่งตรงนี้เลยกลายเป็นประเด็นที่ฝั่งพรรค Republican ที่สามารถนำมาโจมตีความไร้เสถียรภาพของรัฐบาลในตอนนั้น (ตรงนี้เลยทำให้ Boeing โดนหางเลขในการถูกโจมตีไปด้วย) แน่นอนว่าการนำนักบินอวกาศทั้งสองให้สามารถกลับบ้านได้เร็วที่สุดเลยกลายเป็นประเด็นร้อนทั้งฝั่งอวกาศและด้านการเมือง หนึ่งในประเด็นที่ถูกยกมาพูดถึงคือการโกหกแบบควาย ๆ ของ Elon Musk ที่คิดเองเออเองว่ารัฐบาล Biden กีดกัน SpaceX ในการนำนักบินอวกาศทั้งสองกลับสู่โลกเพียงทั้งที่ ย้ำนะว่า “ทั้งที่” ตารางการหมุนเวียนลูกเรือก็ถูกจัดสรรใหม่ให้มีความลงตัวทั้งในเชิงงานด้านอวกาศและความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจมากที่สุดแล้ว แถม Crew Dragon ก็เป็นยานอวกาศของ SpaceX เองอยู่แล้ว กีดกันกี่โมง
ในส่วนของ Space travel ด้วยยาน Crew Dragon เองก็มีอีกสองภารกิจด้วยกัน อย่างภารกิจ Fram2 ก็เป็นภารกิจการบินส่วนตัวโดยกลุ่มพลเรือนที่ในภารกิจนี้จะเป็นการนำยานไปโคจรผ่านทั้งขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้เพื่อศึกษาพฤติกรรมและสภาพแวดล้อมของมัน ซึ่งเป็นครั้งแรกประวัติศาสตร์ Human spaceflight ที่มีการนำยานบินผ่านขั้วโลกแบบนี้ ดั้งเดิมแล้วภารกิจนี้ตั้งใจจะใช้ยาน Crew Dragon “Endurance” ซึ่งเป็นชื่อที่ตรงกับเรือสำรวจดินแดน Antarctic ของ Ernest Shackleton แต่เนื่องจากยานได้ถูกใช้สำหรับภารกิจ SpaceX Crew-10 ทำให้ต้องจำใจเปลี่ยนไปใช้ยาน Crew Dragon “Resilience” แทน นอกจากนี้ชื่อภารกิจอย่าง Fram2 ก็เป็นการตั้งชื่อให้ล้อกับเรือสำรวจ Fram ของชาวนอร์เวย์ซึ่งเป็นเรือลำแรกที่สามารถพิชิตได้ทั้งขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้
Fram2 ภารกิจสำรวจอวกาศโดยมนุษย์แรกที่จะโคจรผ่านขั้วโลก
ส่วน Axiom Mission 4 ถือเป็นภารกิจแบบการบินส่วนตัวของ Axiom Space ที่ในภารกิจนี้มันเป็นเหมือนนายหน้ารับหานักบินอวกาศขึ้นไปทำภารกิจทดลองทางวิทยาศาสตร์บนสถานีอวกาศนานาชาติให้กับชาติที่ไม่ได้มีนักบินอวกาศภายใต้ชื่อของ NASA โดยในภารกิจนี้นับเป็นการนำยาน Crew Dragon ลำใหม่ในชื่อ “Grace” ออกมาใช้งานเป็นเที่ยวบินแรก

สรุปลูกเรือ Axiom Mission 4 ทำงานวิทยาศาสตร์อะไรบ้าง บนสถานีอวาศนานาชาติ
ในปีนี้นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสถานีอวกาศนานาชาติไม่เหลือ Port ให้ยานอวกาศเข้าเทียบเพราะเมื่อวันที่ 1 ธันวาคมบนสถานีอวกาศได้มียาน Crew Dragon จากภารกิจ SpaceX Crew-11 ยาน Cargo Dragon จากภารกิจ SpaceX CRS-33 ยาน Cygnus XL จากภารกิจ NG-23 ยาน HTV-X1 ยาน Soyuz ในภารกิจ MS-27 และ MS-28 ยาน Progress ในภารกิจ MS-31 และ MS-32 รวมแล้วแปดลำเชื่อมต่อเข้ากับ Port เทียบจอดทั้งแปดตำแหน่ง
สรุปเหตุการณ์ส่งยานด่วนเทียบสถานีอวกาศจีน หลัง Shenzhou-20 ถูกขยะอวกาศชนเสียหาย
ในส่วนของฝั่งจีนในปีนี้ก็เรียกได้ว่าวุ่ยวายกันนิดหน่อยเพราะช่วงเวลาก่อนที่ลูกเรือยานเสินโจว 20 จะเตรียมกลับสู่โลกพร้อมกับยานในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนไม่กี่ชั่วโมง ลูกเรือบนสถานีอวกาศเทียนกงได้ตรวจพบรอยร้าวบนกระจกของยานจนต้องเลื่อนการนำยานออกจากเทียบและการลงจอดของลูกเรือภารกิจเสินโจว 20 ออกไปเพื่อความปลอดภัยของลูกเรือบนสถานีและมีการปรับเปลี่ยนตารางงานใหม่ โดยได้ใช้ยานเสินโจว 21 ที่มาถึงตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคมลงมาแทนตอนช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน และปลายเดือนเดียวกันทางจีนก็ได้ส่งยานเสินโจว 22 โดยไม่มีใครนั่งไปด้วยเพื่อใช้สำหรับการลงจอดของลูกเรือภารกิจเสินโจว 21 ในขณะเดียวกันยานเสินโจว 20 ก็ยังติดอยู่กับสถานีอวกาศเทียนกง นั่นแปลว่าจีนเหลือเวลาไม่ถึงหกเดือนในการนำยานเสินโจวออกให้ได้ ไม่งั้นจะไม่สามารถนำลูกเรือภารกิจเสินโจว 23 ขึ้นไปผลัดกับลูกเรือเสินโจว 21 และหากนับตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม สถานีอวกาศที่ Active อยู่ทั้งสองแห่งก็ไม่เหลือ Port ให้ยานอวกาศเข้าเทียบแล้วเช่นกันเพราะฝั่งของเทียนกงก็มีเสินโจว 20 เสินโจว 22 และยานเทียนโจว 9 เชื่อมต่ออยู่

กลับมาดูส่วนของ Sub-orbital flight กันบ้าง ถึงจะไม่ได้ขึ้นวงโคจรแต่ถ้ามันมีมนุษย์ติดไปด้วยก็นับว่าเป็น Human spaceflight อยู่ดี ในปีนี้มีเพียงแค่ Blue Origin เจ้าเดียวที่ปล่อยจรวดระดับ Sub-orbital ที่ให้มนุษย์โดยสารไปด้วย โดยในปีนี้มีการส่งแบบมีมนุษย์โดยสารไปด้วย 7 ภารกิจ และแบบไร้ผู้โดยสารอีกสองภารกิจทำให้ในปีนี้ Blue Origin เองก็ส่งมนุษย์ไปเยือนชายขอบชั้นบรรยากาศร่วม 42 ชีวิต โดยในปีนี้ก็มีการสร้างสถิติอีกสองรายการคือการปล่อยจรวดที่ผู้โดยสารเป็นผู้หญิงล้วนซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ภารกิจ Vostok 6 ในปี 1963 กับภารกิจ NS-31 และมีเที่ยวบินแรกที่มีพกรถเข็น Wheelchair ติดขึ้นไปด้วยกับภารกิจ NS-37
ในปีนี้ก็ผ่านกันไปแล้วอีกปีที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรแต่ก็มีหลายอย่างให้พูดถึง แต่ก็อย่างว่า สหรัฐฯ ก็มีแต่ Flacon 9 ที่เป็นม้างานที่เห็นหน้ากันทุก 1-2 วัน จรวด New Glenn ก็เพิ่งบินและประสบความสำเร็จในปีนี้ Starship ก็เรื่อย ๆ รอดู V3 และเที่ยวบิน Orbital flight ในปีหน้า ส่วนจรวด SLS และโครงการ Artemis ก็หายไปเกือบสามปี จีนเองในปีนี้ก็ไม่ได้โชว์โม้ไปดวงจันทร์แบบเทพ ๆ แบบปีก่อน ๆ ปีนี้หลายอย่างมันเลยดูเอื่อยไปหมด อาจจะเป็นเพราะคนเราโตกันขึ้นเยอะแล้วเลยรู้สึกเฉย ๆ กันหลายเรื่อง เอาเป็นว่าใครที่อยากทำอะไรก็อย่าเพิ่งหมดไฟ ในปีหน้าจะมีอะไรให้น่าสนใจกว่าปีนี้มั้ยก็ติดตามไปพร้อม ๆ กัน เอาเป็นว่าสวัสดีปีใหม่ทุกคน
เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co