ปี 2024 เป็นอีกหนึ่งปีที่ประเทศไทย มีพัฒนาการด้านอวกาศเยอะมาก ๆ และที่สำคัญก็คือเราได้เห็นแล้วว่าประเทศไทยนั้นมีแนวทางในการพัฒนาคนและศักยภาพด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีผ่านทางการร่วมมือกับชาติมหาอำนาจต่าง ๆ โดยเฉพาะกับจีน เมื่อประเทศไทยได้เข้าร่วมเซ็นโครงการ ILRS หรือ International Lunar Reserach Station อย่างเป็นทางการ ในขณะเดียวกัน ในช่วงปลายปี เราก็ยังได้เซ็นความร่วมมือ Artemis Accords กับฝั่งสหรัฐฯ ทำให้ทิศทางการพัฒนาของไทยนั้นน่าจับตามองอย่างมาก
อย่างไรก็ดี ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราก็ยังคงสามารรักษาความสัมพันธ์และวางตัวได้อย่างน่าสนใจ โดยในบทความนี้เราได้รวบรวมกิจกรรมการสำรวจอวกาศที่เกิดขึ้นในประเทศไทย และความร่วมมือต่าง ๆ โดยเฉพาะแผนการในการพัฒนายานอวกาศเดินทางสู่ดวงจันทร์ของเรา
สำหรับในวงการอวกาศโลกนั้น สามารถอ่านได้จากบทความ สรุปกิจกรรมด้านการบินอวกาศ 2024 ปีแห่งการผลักดันพรมแดนเทคโนโลยีจรวด
ดาวเทียม KnackSat-2 ถึงญี่ปุ่นเตรียมส่งไปยังสถานีอวกาศนานาชาติ
เทรนด์การพัฒนาดาวเทียมขนาดเล็กหรือ CubeSat ในประเทศไทยยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการ KnackSat-2 ซึ่งเป็น Ride Sharing Platform Satellite รวมเอา Payload การทดลองต่าง ๆ จากหน่วยงานรัฐและเอกชน บนแพลตฟอร์มดาวเทียมที่พัฒนาโดยบริษัท NBSPACE ร่วมกับ Kyushu Institute of Technology (KYUTECH) และ JAXA เดิมที ในปี 2023 ได้มีรายงานว่า KnackSat-2 จะถูกปล่อยออกจากโมดูล Kibo ของ JAXA บนสถานีอวกาศนานาชาติในปี 2024 อย่างไรก็ดี จนถึงปลายปี KnackSat-2 ยังไม่ได้เดินทางขึ้นสู่อวกาศ แต่ได้ถูกส่งมอบไปยัง KYUTECH เรียบร้อย

เรียกได้ว่าเป็นข่าวที่สืบเนื่องจากปีก่อน ซึ่งก็ต้องรอดูต่อไปว่า ในปี 2025 เราจะได้เห็น KnackSat-2 กลายเป็นดาวเทียมอีกหนึ่งดวงที่สานต่อภารกิจที่เติบโตบนแพลตฟอร์มดาวเทียมขนาดเล็กที่บุกเบิกมาตั้งแต่ยุค KnackSat-1, BCCSat-1 ที่ถูกปล่อยสู่อวกาศไปก่อนหน้า
เยาวชนไทยร่วมทำการทดลอง Asian Try Zero-G
โครงการความร่วมมือระหว่างไทยกับญี่ปุ่นจากทางฝั่งสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. ยังคงดำเนินต่อไป ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2024 เราได้มีโอกาสติดตามเยาวชนไทย เดินทางไปร่วมทำการทดลองในโครงการ Asian Try Zero-G โครงการที่คัดเลือกการทดลองจากเยาวชนในชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และออสเตรเลีย ไปทำการทดลองบนโมดูล Kibo ของสถานีอวกาศนานชาติฝั่งญี่ปุ่น ในบทความ ตามเด็กไทยไปทำการทดลองกับนักบินอวกาศ ในโครงการ Asian Try Zero-G ที่ JAXA โดยในปีนี้มีเยาชนไทยเข้าไปร่วมโครงการถึง 3 ทีม ซึ่งในช่วงนั้น นักบินอวกาศ Satoshi Furukawa ลูกเรือ Expedition 70 ได้เป็นผู้ทดลอง และการทดลองของเยาวชน ได้ถูกส่งขึ้นไปสู่อวกาศพร้อมกับภารกิจ CRS-29 กับยาน Dragon ในช่วงปลายปี 2023

ปีนี้มีผู้ส่งใบสมัครจำนวน 45 เรื่อง ประกอบด้วยเยาวชน 117 คน รวมจำนวนใบสมัครทั้งสิ้น 152 เรื่อง และมีเยาวชนไทยเข้าร่วมโครงการจำนวน 338 คน ซึ่งเป็นจำนวนผู้เข้าร่วมโครงการมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จนถูกคัดเลือผู้ผ่านการเข้ารอบและได้เดินทางไปยังประเทศญี่ปุ่น 7 คน
กิจกรรม Asian Try Zero-G จัดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี แม้ในช่วงปลายปี 2023 จะมีดราม่ากรณี สวทช ไม่สามารถจัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนกิจกรรมได้ (ประกาศของ สวทช ยันเด็กไทยได้ไป JAXA แน่นอน) ทำให้ต้องมีการระดมทุนจากบริษัทต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือเยาวชนไทย รวมถึงในโครงการ Kibo-RPC ช่วงปลายปี ทาง สวทช ก็ยังคงต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากเอกชนเป็นผู้ออกค่าสนับสนุนการเดินทางและการกินอยู่ของทีมเยาวชนอยู่ น่าเป็นที่ติดตามว่า ในเมื่อโครงการความร่วมมือดังกล่าวยังคงสามารถพัฒนาเยาวชนไทย ป้อนสู่วงการอวกาศได้ เมื่อไหร่ สวทช จะมีแผนระยะยาวในการจัดการกับโครงการความร่วมมือกับ JAXA
และโครงการ Asian Try Zero-G ปี 2025 ก็ได้เริ่มประกาศรับ Proposal เรียบร้อย ผ่านทางรายละเอียด Call for Proposals of ISS Experimental Themes for Asian Try Zero-G 2025
ไทยประกาศเซ็น ILRS อย่างเป็นทางการ จองคิว Payload ลงดวงจันทร์
ข่าวใหญ่ประจำปีสำหรับวงการอวกาศไทย หลังจากที่ก่อนหน้านี้เราได้เห็นสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ ได้พัฒนาความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์กับ Chinese Academy of Sciences หรือ CAS ขยายมาจนเป็นความร่วมมือกับ CNSA หรือองค์การอวกาศจีน และมีแผนพัฒนา Payload การทดลองบนยานอวกาศ Chang’e 7 และ 8 ที่จะเดินทางสู่ดวงจันทร์ ในเดือนเมษายน 2024 ความร่วมมือดังกล่าว ก็ได้ถูกยืนยันด้วยการเซ็นเข้าร่วมโครงการ International Lunar Research Station หรือ ILRS

ในข่าวเรื่อง วิเคราะห์ไทยเซ็น ILRS เป็นทางการ หลังร่วมส่งอุปกรณ์บนฉางเอ๋อ 7 เราได้รายงานถึงแผนของสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติและหน่วยงานพันธมิตรในการผลักดันชุดการทดลองของคนไทยให้เดินทางไปกับโครงการสำรวจอกวาศของจีน ซึ่ง ณ ตอนนี้ ทางสถาบันฯ ได้ประกาศออกมาเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า ชุดการทดลองที่จะถูกส่งไปกับยาน Chang’e 7 ที่จะเดินทางสู่ดวงจันทร์ในปี 2026 นั้นก็ได้แก่ Moon-Aiming Thai-Chinese Hodoscope หรือ MATCH อุปกรณ์ในแบบตรวจวัด (Detector) ใช้ในการศึกษาอนุภาคกลุ่ม Cosmic Ray
โครงการที่เรากล่าวมานี้ ในช่างเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาทางสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ ได้จัดนิทรรศการแสดงผลงาน ซึ่งเราเคยรายงานไปในบทความ เจาะลึกนิทรรศการของ NARIT แล้ว
MATCH นั้นเป็นหนึ่งในชุดการทดลองจากจากนานชาติที่เป็นพันธมิตรกับจีน โดย ณ ซึ่งก่อนหน้านี้ในปี 2023 จีนได้ประกาศ Call for Proposal ให้ชาติต่าง ๆ เสนอการทดลองเข้ามา Announcement of Opportunity Solicitating for Payloads onboard Chang’E-7 Mission และข้อมูลในปี 2024 China’s Chang’e-7 lunar mission to carry instruments developed through international cooperation ทาง CNSA ได้ระบุว่า Chang’e 7 จะบรรทุกการทดลองจาก อียิปต์ บาห์เรน อิตาลี รัสเซีย สวิสเซอร์แลนด์ รัสเซีย และ พันธมิตรร่วม International Lunar Observatory Association เดินทางไปยังดวงจันทร์
ใน Scientific objectives and payload configuration of the Chang’E-7 mission ซึ่งออกมาในช่วงต้นปี 2024 ได้อธิบายรายละเอียดการทำงานของชุดการทดลองต่าง ๆ และโปรไฟล์การโคจรของยาน โดยตัวยานจะโคจรอยู่เหนือพื้นผิวดวงจันทร์ที่ความสูง 200 กิโลเมตร แต่ยังไม่มีการพูดถึงรายละเอียดการทดลองจากฝั่งนานาชาติ

MATCH นั้นได้รับการพัฒนาฝั่งวิทยาศาสตร์โดยมหาวิทยาลัยมหิดล นำโดยศาสตราจารย์ ดร. David Ruffolo และ ดร. กุลภา ไชยวงศ์คต เป็น Payload Scientist และได้รับความช่วยเหลือในการขึ้นรูปงานและ โครงสร้างและวิศวกรรม การทำ Payload Integration จากทางสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ มี ดร.พีรพงศ์ ต่อฑีฆะ เป็น Project Manager ตัวการทดลองนั้นมีน้ำหนัก 4,850 กรัม ขนาดประมาณ 136 x 136 x 259 มิลลิเมตร พัฒนาในประเทศไทยทั้งหมด
ในช่วงปลายปี 2024 เจ้าหน้าที่จากสถาบันวิจัยดาราศาสตร์ ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับทีมงานสเปซทีเอชว่า ในปี 2025 ไทยจำเป็นต้องส่งมอบชุดการทดลอง MATCH ให้กับ CNSA ในช่วงก่อนกลางปี ปัจจุบัน MATCH กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาและทดสอบอยู่ที่ ห้องวิจัยของสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ จังหวัดเชียงใหม่
นอกจากการทดลองบน Chang’e 7 ที่สามารถประกาศได้อย่างเป็นทางการซักพักแล้ว ในเดือนกันยายน 2024 นี้ ก็ยังมีข่าวดีเกี่ยวกับการทดลองของคนไทยอีกชุด ที่ถูกพัฒนาโดยทีมวิจัยกลุ่มเดิม โดยในรอบนี้จะเป็นการส่งการทดลองลงไปยังผิวดวงจันทร์ ในตัวยานลงจอดของยาน Chang’e 8 ที่จะเดินทางไปลงจอดบนดวงจันทร์ในปี 2028 นั่นก็คือ ALIGN หรือ Assessing Lunar Ion-Generated Neutrons
เช่นเดียวกับ Chang’e 7 ในภารกิจ Chang’e 8 ทาง CNSA ก็ได้ประกาศ Announcement of Opportunities for
International Cooperation of the Chang’E-8 Mission เช่นกัน และในรอบนี้ การทดลองของคนไทยก็ได้เดินทางไปอีก ซึ่งผลการคัดเลือกได้ออกมาในเดือนกันยายน 2024
ชุดการทดลอง Assessing Lunar Ion-Generated Neutrons หรือ ALIGN เป็นอีกหนึ่ง Proposal ที่ทาง CNSA อนุมัติให้เดินทางไปลงจอดบนพื้นผิวของดวงจันทร์ในภารกิจ Chang’e 8 โดยชุดการทดลองนี้ยังคงพุ่งเป้าความสนใจไปที่การตรวจวัดอนุภาคนิวตรอนอยู่ แต่นอกจากจะศึกษานิวตรอนที่พุ่งมาจากอวกาศอย่างเดียว จะมีการศึกษา Albedo Neutron ซึ่งหมายความถึงนิวตรอนที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากพื้นดิน จากการถูกพุ่งชนโดยอนุภาคที่เดินทางมาจากอวกาศ (จะเรียกว่าเป็น Secondary Neutron ก็ได้) ซึ่ง ALIGN นั้น จะหันหน้าลงพื้นแทนการชี้ขึ้นฟ้า
และนอกจาก ALIGN แล้ว ยังมีการทดลองอีกหนึ่งชุดที่เกี่ยวข้องกับคนไทยก็คือ การทดลองจาก Hong Kong University of Science and Technology หรือ HKUST ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในพันธมิตรที่ CNSA เลือกให้ไปลงจอดบนดวงจันทร์โดย HKUST นั้นมีแผนพัฒนาหุ่นยนต์ที่จะทำงานบนผิวดวงจันทร์ HKUST Leads Chang’E 8 International Cooperation Project Developing the Multi-Functional Lunar Surface Robot with Mobile Charging Station ที่บอกว่าเกี่ยวข้องกับคนไทยนั้นก็เพราะว่าในโครงการดังกล่าว มีนักวิจัยไทยเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในการพัฒนาด้วย แต่แหล่งข่าวยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้
สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติยังได้เปิดเผยแผนการพัฒนายานอวกาศ Lunar Pathfinder ซึ่งจะเป็นยานอวกาศขนาดเล็กแบบ CubeSat ขนาด 12U (30x20x20 เซนติเมตร) มีมวลประมาณ 20 กิโลกรัม ออกแบบและพัฒนาโดยวิศวกรไทย และจะเดินทางไปดวงจันทร์โดยติดไปกับยานอวกาศ Chang’e 8 ที่จะเดินทางไปดวงจันทร์ในปี 2028 และแยกตัวออกจาก Chang’e 8 ณ วงโคจรของดวงจันทร์ ซึ่งจะนับว่าเป็นยานอวกาศที่โคจรรอบดวงจันทร์ดวงแรกของไทย
การพัฒนา Lunar Pathfinder นั้นจะช่วยให้ไทยเตรียมพร้อมในการพัฒนายานอวกาศในโครงการ Thai Space Consortium หรือ TSC โดยเฉพาะยาน TSC-2 ที่จะเดินทางไปโคจรรอบดวงจันทร์
DC-8 ของ NASA บินเก็บข้อมูลคุณภาพอากาศที่ไทย
ปีนี้นอกจากจีนมาบุกบ้านแล้ว NASA ก็มาบุกบ้านเราเช่นเดียวกัน ในบทความเรื่อง เจาะลึกโครงการ ASIA-AQ ทำไม NASA ต้องส่งเครื่องบินมาที่ไทย เราได้อธิบายว่าโครงการ Asia-AQ คืออะไรกันไปอย่างละเอียดแล้ว
ในเดือนมีนาคม 2024 NASA ได้ส่งเครื่องบินวิทยาศาสตร์สองลำได้แก่ DC-8 และ Gulfsteram G-III เดินทางมายังประเทศไทย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Asia-AQ

เครื่องบิน DC-8 ใช้การโฉบลงลดระดับเพื่อเตรียมลงจอดในท่าอากาศยานต่าง ๆ แต่จะลอยอยู่เหนือพื้นเพียง 50 ฟุต (15 เมตร) ก่อนที่จะไต่ระดับกลับขึ้นไปในระดับ 10,000 ฟุต ผ่านสนามบินอู่ตะเภา ดอนเมือง สุโขทัย เชียงใหม่ แพร่ พิษณุโลก เป็นเส้นทางในการบินเก็บตัวอย่างอากาศทั้งเช้าและบ่าย ระหว่างวันที่ 16-26 มีนาคม 2024 ในขณะที่เครื่อง Gulfstream นั้นจะ บินกลับไปมาเพื่อทำแผนที่สภาพอากาศเหนือเขตกรุงเทพและปริมณฑล พร้อมทั้งสำรวจความเข้มข้นของสารเคมี เช่น ฟอร์มอลดีไฮด์ และโอโซน โดยเป็นการร่วมแชร์ข้อมูลกับดาวเทียม GEMS ของเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นดาวเทียมศึกษาคุณภาพอากาศ
Thailand Liquid Crystals in Space
โครงการ Thailand Liquid Crystals in Space นั้นได้รับการพูดถึงมาซักพักแล้ว โดยเฉพาะเมื่อทางมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เซ็นความร่วมมือกับ NASA ในปี 2021 โดยโครงการดังกล่าวนั้นนำโดย ดร.ณัฐพร ฉัตรแถม ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งมีเป้าหมายในการศึกษาพฤติกรรมของผลึกเหลว (Liquid Crystal) บนสถานีอวกาศนานาชาติที่จะนำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยี Liquid Crystal Display (LCD) ให้ได้หน้าจอ LCD ที่มีความเร็วสูง ใช้ปริมาณไฟต่ำ มีความคมชัดกว่าเทคโนโลยีปัจจุบัน และศึกษาถึงความเป็นไปได้ในการสร้างเทคโนโลยีดังกล่าวบนโลก
งาน Thailand Liquid Crystals in Space นั้น เป็นความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และ GISTDA โดยโครงการดังกล่าวทำร่วมกับ NASA ผ่านหน่วยงาน ISS National Laboratory และจัดส่งขึ้นสู่อวกาศผ่านทางบริษัท Nanoracks โดยตัวการทดลองจะถูกนำส่งสู่สถานีอวกาศนานาชาติผ่านภารกิจ CRS-32 ของ SpaceX ในเดือนมีนาคม 2025 (เลื่อนเป็น CRS-33/SpX-33 ในช่วงท้ายปี 2025 / เลื่อนเป็น NG-23 ในช่วงท้ายปี 2025 หลังทีมวิจัยมีความจำเป็นต้องปรับแก้ชิ้นงานในช่วงสุดท้าย)
ดาราศาสตร์วิทยุของไทย กับการเข้าร่วม VLBI
หลังจากที่ไทยเราได้สร้างและเปิดใช้งานหอดูดาววิทยุแห่งชาติ หรือ Thai National Radio Telescope หรือ TNRO มาเป็นเวลากว่าสองปีแล้ว แต่ไทยเราก็ยังคงเดินหน้าและพัฒนาศักยภาพด้านดาราศาสตร์วิทยุผ่านการนำกล้องของเราไปร่วมมือกับโครงการต่าง ๆ ล่าสุดในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ เพิ่งมีความร่วมมือกับโครงข่าย China VLBI Network หรือ CVN นำเอากล้อง TNRO ขนาด 40 เมตรของเราไปร่วมเป็นเครือข่ายกล้องผ่านเทคนิค Very Long Baseline Interferometry ด้วย

และนอกจาก TNRO แล้ว ณ ตอนนี้กล้องโทรทรรศน์วิทยุขนาดเล็ก เผื่อเข้าโครงการ VLBI Global Geodetic System หรือ VGOS ก็ได้รับการติดตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้วข้าง ๆ TNRO รวมถึงจะมีการติดตั้งตัวที่สอง ณ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ เพื่อให้เป็น กล้องโทรทรรศน์วิทยุนครศรีธรรมราช ทำงาน VLBI ร่วมกับเครือข่ายนานาชาติ

จาน VGOS นั้นมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 13 เมตร โดยทางสถาบันฯ ได้รับการสนับสนุนจาก Shanghai Astronomical Observatory หรือ SHAO ภายใต้ Chinese Academy of Sciences โดยกล้องตัวนี้จะถูกใช้งานเพื่อศึกษาทิศทาง และความเร็วในการเคลื่อนที่ของเปลือกโลก เมื่อเทียบกับตำแหน่งกล้องโทรทรรศน์วิทยุที่ตั้งอยู่ในตำแหน่งอื่นๆ บนโลก
GISTDA เผยภาพแรก THEOS-2 เตรียมลุยโครงการ THEOS-3
หลังจากเดินทางสู่อวกาศในเดือนกันยายน 2023 ดาวเทียม THEOS-2 ดาวเทียมถ่ายภาพดวงใหม่ของไทยก็ได้ส่งภาพถ่ายชุดแรกกลับมายังโลก โดย GISTDA ได้จัดงานเปิดตัวในเดือนพฤษภาคม เราได้รายงานไว้ในบทความ GISTDA เปิดภาพแรกจากดาวเทียม THEOS-2 ดาวเทียม THEOS-2 เป็นดาวเทียมถ่ายภาพที่พัฒนาโดยบริษัท Airbus Space นั้นโคจรอยู่ที่วงโคจรแบบ Sun-Synchronous Orbit ที่ความสูง 621 กิโลเมตร ตัดขั้วโลกเหนือใต้ มีคาบการโคจร 97.25 นาที และจะโคจรกลับมาอยู่เหนือจุดเดิมบนผิวโลกทุก 26 วัน

GISTDA ได้ประเมินไว้ว่าดาวเทียม THEOS-2 จะมีอายุการใช้งานอยู่ที่ประมาณ 10 ปี โดยใช้งบประมาณในโครงการอยู่ที่ประมาณ 7,000 ล้านบาท ซึ่งมีดาวเทียมที่เราจะได้รับอยู่ 2 ดวง ได้แก่ THEOS-2 และ THEOS-2A ซึ่งเป็นดาวเทียมขนาดเล็กกว่าและร่วมสร้างโดยวิศวกรไทย ซึ่งมีกำหนดปล่อยในปี 2025 กับจรวด PLSV ของอินเดียหลังจากที่ถูกเลื่อนจากกำหนดปล่อยเดิมในปี 2024

ในขณะเดียวกัน GISTDA ก็ได้สานต่อโครงการ THEOS ด้วยการวางแผนโครงการ THEOS-3 ซึ่ง GISTDA ระบุว่า THEOS-3 นั้นจะเป็นดาวเทียมแบบ Micro Satellite มีแผนปล่อยสู่วงโคจรในปี 2027 ใช้ชิ้นส่วนจากผู้ประกอบการในประเทศไทย โดยอาศัยการถ่ายทอดองค์ความรู้มาตรฐานการผลิตวัสดุแบบ Space-grade หรือตามมาตรฐานเพื่อรองรับภารกิจสำรวจอวกาศ โดยศูนย์ประกอบและทดสอบดาวเทียมแห่งชาติ หรือ AIT ในอุทยานรังสรรค์นวัตกรรมอวกาศ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี
เยาวชนไทย ร่วมแข่ง America Cup อีกครั้ง
การแข่งขัน America Cup เป็นการแข่งขันพัฒนาจรวดแบบ Sounding Rocket ซึ่งเป็นจรวดความเร็วระดับ Supersonic จัดการแข่งขันเป็นประจำทุกปี ณ Spaceport America ในรัฐมิวเม็กซิโก สหรัฐอเมริกา ซึ่งมีทีมเยาวชนไทยเข้าร่วมการแข่งขันถึงสองทีม ได้แก่ ทีม CUHAR – Chulalongkorn University High Altitude Research Club จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ลงแข่งที่ความสูง 30 กิโลเมตร และ 10 กิโลเมตร และทีม RADIANT จากมหาวิทยาลัยมหิดล ลงแข่งที่ความสูง 10 กิโลเมตร

น่าเสียดายที่ในปีนี้ทั้งทีม CUHAR และ RADIANT ในปีนี้ไม่ได้รับชัยชนะ แต่ความน่าสนใจก็คือ ผลงานของเยาวชนไทยกลุ่มนี้ได้ถูกพูดถึงในพื้นที่ต่าง ๆ เยอะขึ้น รวมถึงได้มีการสานต่อความร่วมมือกับทั้ง สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ และสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ เพื่อสนับสนุนกิจกรรมของเยาวชน

ตัวแทนจาก CUHAR ได้ให้ข้อมูลกับทีมงานสเปซทีเอชว่าทางชมรมยังมีแผนในการผลักดันให้เกิดการทดสอบยิงจรวดภายในประเทศให้ได้ เนื่องจากปัจจุบันยังคงติดในเรื่องข้อกฎหมายและพื้นที่ปลอดภัยในการทดสอบจรวด ทั้งนี้ การปล่อยตลอดทุกครั้งที่ผ่านมาเกิดขึ้นเฉพาะที่สหรัฐฯ ในช่วงการแข่งขัน ในไทยสามารถทำได้เพียงแค่ทดสอบใน Simulation เพียงเท่านั้น
โครงการความร่วมมือกับจีนในภารกิจ Shijian-19
โครงการ Shijian เป็นโครงการสำรวจอวกาศของจีนที่ดูแลโดย China Academy of Space Technology หรือ CAST ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ทำการทดลองในอวกาศหลาย ๆ การทดลอง โดยในภารกิจ Shijian-19 ที่ถูกปล่อยขึ้นสู่อวกาศในวันที่ 27 กันยายน 2024 นั้น ได้บรรทุกเอาการทดลอง Multi-omics analysis of Germinating Rice Seedlings Under Extreme Environmental Conditions ส่งสายพันธุ์ข้าวที่ผ่านการคัดเลือกจำนวน 35 หลอด ขึ้นไปทดลองการเจริญเติบโต ภายใต้สภาวะไร้แรงโน้มถ่วงและสัมผัสกับรังสีคอสมิก จากนั้นจึงส่งต้นกล้ากลับมายังพื้นโลกเพื่อวิเคราะห์ ผลการทดลองด้วยเทคนิค Multi-omics

การทดลองนี้นำโดย GISTDA และมหาวิทยาลัยมหิดล นำโดย ดร.ทัฏพงศ์ ตุลยานนท์ อาจารย์และหัวหน้าห้องปฏิบัติการ Plant Biology & Astrobotany ก่อนหน้านี้งานของ ดร.ทัฏพงศ์ เรื่องการเติบโตของไข่น้ำ ยังได้ถูกนำไปทดลองใน Large Diameter Centrifuge ขององค์การอวกาศยุโรปหรือ ESA ในปี 2020

ความพิเศษของภารกิจ Shijian-19 นั้น เป็นการทดลองในลักษณะ Returnable Microgravity Experiments ซึ่งเป็นการส่งตัว Payload ขึ้นไปโคจรรอบโลกที่ระดับความสูงประมาณ 300 กิโลเมตร เป็นระยะเวลา 14 วัน และตัวแคปซูลจะเดินทางกลับลงมายังโลก และลงจอดในทะเลทรายมองโกเลีย และถูกเก็บกู้เพื่อส่งคืนให้แก่นักวิจัย
นอกจากประเทศไทยแล้วในโครงการ Shijian-19 ยังมีชาติต่าง ๆ ร่วมส่งการทดลอง รวมถึงเขตบริหารพิเศษฮ่องกง และปากีสถาน รวมน้ำหนักของชุดการทดลองทั้งหมดมากกว่า 3,500 กิโลกรัม
เยาวชนไทยคว้าชัยชนะ Kibo-RPC
อีกหนึ่งโครงการความร่วมมือระหว่าง สวทช และ JAXA ที่จัดขึ้นเป็นประจำก็ได้แก่โครงการ Kibo Robot Programming Challenge หรือ Kibo-RPC ซึ่งเป็นการแข่งขันควบคุมหุ่นยนต์บนสถานีอวกาศนานาชาติ
ตัวแทนเยาวชนจากประเทศไทย ได้แก่ ธรรญธร ไชยกายุต ชั้นปีที่ 1 วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า, ชิษณุพงศ์ ประทีปพงศ์, ชยพล เดชศร ชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยมหิดล และสิรวิชญ์ แพร่วิศวกิจ ชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี การแข่งขันรอบสุดท้ายได้เกิดขึ้นในเดือนกันยายน โดยมีนักบินอวกาศ Jenet Epps ของ NASA ช่วยจัดการแข่งขันบนสถานีอวกาศนานาชาติ และถ่ายทอดลงมายังศูนย์ควบคุมสถานีฯ ของ JAXA ที่ Tsukuba Space Center ประเทศญี่ปุ่น

ในการรันผลการแข่งขันรอบสุดท้ายนี้ ได้รับการบรรยายโดย ศาสตราจารย์ Shinichi Nakasuka ที่ปรึกษาของ JAXA และอาจารย์ด้านอวกาศมหาวิทยาลัยโตเกียว และนักบินอวกาศ Norishige Kanai ลูกเรือ Expedition 54/55 ร่วมเป็นผู้คอมเม้นการแข่งขัน และมอบรางวัล
NARIT เปิดหอดูดาวภูมิภาคขอนแก่นอย่างเป็นทางการ
ในวันที่ 18 ธันวาคม 2024 สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ ได้เปิดหอดูดาวภูมิภาคอีกหนึ่งแห่งนั่นก็คือ หอดูดาวเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา ขอนแก่น อย่างเป็นทางการหลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้เปิดบางส่วนให้ประชาชนได้เข้าใช้บริการแล้วมาเกือบสองปี

หอดูดาวแห่งนี้ได้รับการติดตั้งกล้องโทรทรรศน์ขนาด 0.7 เมตร ที่เรียกได้ว่าเป็นกล้องรุ่นประจำของหอดูดาวภูมิภาคของ NARIT ที่สามารถให้บริการแก่นักวิจัยและประชาชนทั่วไปในการสังเกตการวัตถุบนท้องฟ้า รวมถึงกล้องโทรทรรศน์ขนาดเล็กที่ให้บริการประชาชนทั่วไปในการเข้ามาร่วมกิจกรรมต่าง ๆ และชมปรากฎการณ์ทางดาราศาสตร์

โดยในพิธีเปิดนั้น สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้าฯ เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิด ทอดพระเนตรนิทรรศการดาราศาสตร์ ทอดพระเนตรวัตถุท้องฟ้า ผ่านกล้องโทรทัศน์ชนิดหักเหแสง และทรงบันทึกภาพดาวเสาร์ ด้วยระบบอัตโนมัติจากกล้องโทรทรรศน์ขนาด 0.7 เมตรด้วยพระองค์เอง
หอดูดาวเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา ขอนแก่น ตำบลเขื่อนอุบลรัตน์ พร้อมเปิดบริการประชาชนเต็มรูปแบบ วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม 2024 เป็นต้นไป
ไทยเซ็น Artemis Accords
ข่าวใหญ่ประจำปีอีกข่าวหนึ่ง หลังจากที่ก่อนหน้านี้เราได้รายงานไปว่าประเทศไทยได้วางแผนเซ็น Artemis Accords อย่างแน่นอน จนในที่สุดพิธีเซ็นก็ได้ถูกจัดขึ้นในวันที่ 16 ธันวาคม 2024 หลังจากที่ในวันที่ 29 ตุลาคม สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ หรือ GISTDA ประกาศผ่าน Facebook บอกว่าคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ไทยเข้าร่วมเซ็น Artemis Accord เป็นที่เรียบร้อย
พิธีเซ็นถูกจัดขึ้นที่ โรงแรมอนันตรา สยาม ตัวแทนรัฐบาลไทย ตัวแทนหน่วยงานด้านวิทยาศาสตร์ และเอกอัคราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศได้ ได้ร่วมลงนามในข้อตกลง Artemis Accords ซึ่งผู้เซ็นนั้นก็ได้แก่ ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ โดยประเทศไทยถือว่าเป็นประเทศที่ 51

ข้อตกลง Artemis Accords นั้นว่าด้วยการสำรวจอวกาศอย่างสันติ ใช้ทรัพยากรอวกาศอย่างเป็นประโยชน์แก่มวลมนุษยชาติ และแชร์องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์เพื่อประโยนช์แก่ส่วนรวม
การเซ็นนี้ทำให้ประเทศได้ได้เป็นประเทศแรกของโลกที่ร่วมเซ็นสองข้อตกลงด้านการสำรวจอวกาศใหญ่ของโลกใบนี้ทั้ง Artemis Accords และ International Lunar Research Station โดยเราได้วิเคราะห์ไว้ในบทความ จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อไทยร่วมสำรวจดวงจันทร์กับทั้งสหรัฐฯ และจีน พูดถึง
จรวดของ Space One พาดาวเทียมไทยไปไม่ถึงวงโคจร
ในวันที่ 18 ธันวาตม 2024 บริษัท Space One ของญี่ปุ่นเสียจรวด KAIROS ไปในเที่ยวบินทดสอบที่สอง หลังการบินขึ้นยังไม่ประสบความสำเร็จ เราเคยรายงานแผนการพัฒนาของบริษัทไปในบทความ ชวนรู้จัก Space One บริษัทจรวดที่เกิดจากการร่วมทุนระหว่างบริษัทในญี่ปุ่น
ในรอบนี้แม้จรวดได้บินขึ้นพ้นจากฐานและขึ้นสู่ท้องฟ้า ซึ่งดูเหมือนการปล่อยจะประสบความมสำเร็จไปได้ด้วยดี อย่างไรก็ตามในนาทีที่ 2 หลังจากการปล่อย จรวดดันเกิดหมุนควงสว่านกลางท้องฟ้าและเสียการควบคุม ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าระบบ Flight Termination System ได้สั่งระเบิดตัวจรวดหรือไม่ แต่ที่แน่ ๆ ท่านี้จรวดไม่สามารถนำ Payload ขึ้นสู่วงโคจรได้แน่ ๆ และน่าจะตกนอกชายฝั่งญี่ปุ่น

ทั้งนี้ Payload ในตัวจรวดอันได้แก่ ดาวเทียมขนาดเล็กจาก Terra Space และดาวเทียม CubeSat จาก Taiwan Space Agency, Space Cubics, LAGRAPO และดาวเทียมทดสอบ NARIT Cube-1 ของสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติได้เสียไปในการทดสอบครั้งนี้ด้วย

สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ ไม่ได้ให้ข้อมูลใด ๆ เพิ่มเติมหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งดาวเทียม NARIT Cube-1 นั้นถือว่าเป็นการแสดงความสามารถของวิศวกรไทยในการประกอบดาวเทียมเทียมดวงแรก ซึ่งการทดสอบดาวเทียมประสบความสำเร็จดีบนพื้นโลก ตั้งแต่ในระหว่างพัฒนา ตามที่เราได้รายงานไว้ในบทความ เจาะลึกนิทรรศการของ NARIT แม้จะน่าเสียดายที่เราไม่ได้เห็น NARIT Cube-1 ส่งสัญญาณลงมาจากอวกาศ แต่เราก็ได้เห็นแล้วว่าสถาบันฯ มีศักยภาพในการพัฒนดาวเทียมตั้งแต่แรกเริ่มในทุกขั้นตอน ไปจนถึงการทำ Delivery ให้กับบริษัทนำส่งได้อย่างดี ซึ่งตัวดาวเทียมได้ถูกนำส่งให้กับบริษัท Space One ไปในช่วงปลายปี 2024 ก่อนการปล่อยประมาณหนึ่งเดือน
สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ ยังไม่ได้เปิดเผยแผนการต่อไปของโครงการ NARIT Cube ซึ่งต้องรอประกาศอย่างเป็นทางการจากสถาบันต่อไป
ตลาดอวกาศในไทยและความร่วมมือฝั่งธุรกิจ
นอกจากโครงการใหญ่ ๆ ที่เราพูดถึงไปแล้วนั้น สิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คือความสนใจที่บริษัทต่างชาติ เข้ามาศึกษา พูดคุย และมีความร่วมมือกับทั้งหน่วยงานรัฐฯ และเอกชนในบ้านเรา โดยรายชื่อของบริษัทใหญ่ ๆ ที่มีข่าวปรากฎออกมานั้น ก็มีตั้งแต่ SpaceX ที่เข้ามาเปิดทดสอบการใช้งานอินเทอร์เน็ต Starlink ในประเทศไทย, บริษัท ispace จากญี่ปุ่นเจ้าของยาน Hakuto-R ที่ เตรียมลงจอดวงจันทร์อีกครั้งในปี 2025 เข้ามาร่วมเซ็นความร่วมมือ จากข่าว ispace, GISTDA, and mu Space Agree to Collaborate on Lunar Exploration Mission for Thailand’s National Space Program หรือบริษัทโทรคมนาคมเจ้าใหญ่ในไทยของเราอย่าง Thaicom ที่ตอนนี้ประกาศเลือกผู้พัฒนาดาวเทียม Thaicom 9 แล้ว ว่าเป็นบริษัท Astranis โดยดาวเทียม Thaicom 9 จะเป็นดาวเทียมรุ่น MicroGEO ที่ Astranis พัฒนาขึ้นมา Thaicom Strengthens Its Fleet At 119.5 Degrees East With Thaicom-9, Provided By Astranis

ในขณะที่ฝั่งของจีนนั้น นอกจากเราจะมีความร่วมมือกับหน่วยงานรัฐฯ หรือหน่วยงานด้านการศึกษานั้น บริษัทอวกาศสัญชาติจีนก็ดูจะสนใจในตลาดไทยเช่นเดียวกัน เช่นบริษัท GalaxySpace ที่ประกาศความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยมหานคร ในการทดสอบการใช้งานระบบสื่อสารอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม โดยใช้กลุ่มดาวเทียมแบบ Constellation ของ GalaxySpace ซึ่งให้บริการอินเทอรื์เน็ตบน Low Earth Orbit คล้ายกับ Starlink ของ SpaceX

อีกหนึ่งบริษัทที่น่าพูดถึงในปีนี้ก็คือ EOS Orbit ที่เรียกตัวเองว่าเป็นบริษัทผลิตดาวเทียมสัญชาติไทย อีกหนึ่งแห่งที่ตอนนี้เริ่มปรากฏตัวออกสื่อต่าง ๆ รวมถึงมาร่วมจัดแสดงในงาน Thailand Space Week ด้วยเช่นกัน โดยดาวเทียมดวงแรกของบริษัทนั้นก็ได้แก่ดาวเทียม LOGSATS ดาวเทียม CubeSat สื่อสารตระกูล IoT แบบ 3U ที่เพิ่งถูกปล่อยสู่อวกาศไปในภารกิจ Korea 425 ซึ่งเป็นภารกิจ Rideshare ของจรวด Falcon 9 ไปในวันที่ 1 ธันวาคม 2023
ทั้งหมดที่เล่ามานี้แสดงว่าปี 2024 ยังคงเป็นปีที่วงการอวกาศไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งในมุมของธุรกิจ การวิจัย ความร่วมมือรวมถึงแนวทางการดำเนินนโยบายเชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่น่าสนใจ ซึ่งบ่งชี้ว่าเรายังมีช่องว่างให้เข้ามาเติมเต็มและเข้ามาทำงานในสายอวกาศได้อีกเยอะ
ในปีหน้า 2025 นั้นสิ่งที่น่าจับตามองก็คือโครงการอวกาศต่าง ๆ ของไทย โดยเฉพาะความร่วมมือกับ CNSA ภายใต้โครงการ ILRS ว่าจะคืบหน้าอย่างไรบ้าง รวมถึงโครงการส่งดาวเทียมวิทยาศาสตร์ของไทย ที่ในตอนนี้ทางสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ น่าจะต้องออกมาแสดงทิศทางต่อว่า หลังจากที่โครงการ TSC-Pathfinder ที่ถูกประกอบเสร็จที่จีนไม่ได้เดินทางขึ้นสู่อวกาศ และต้องเสียดาวเทียม NARIT Cube-1 ไปนั้น เราจะได้เห็นดาวเทียมดวงแรกภายใต้โครงการ TSC หรือความร่วมมือผ่านโครงการ ILRS เมื่อไหร่ แต่ที่แน่ ๆ ตอนนี้ เรามี Payload การทดลองอย่างน้อย 3 ชิ้นที่กำลังจะได้เดินทางไปยังดวงจันทร์ร่วมกับจีน ทำให้บอกได้ว่าอนาคตอวกาศของไทย ยังมีอะไรน่าสนุกให้ได้รับชมอีกเยอะแน่ ๆ
ลองย้อนอ่านในปี 2023 เราจะเห็นความเชื่อมโยงกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปีนี้อย่างชัดเจน สรุปอวกาศปี 2023 ยานอวกาศ ดวงจันทร์ การค้นพบ และแวดวงอวกาศ ของโลกและไทย
และสุดท้ายสิ่งที่ต้องฝากไว้เสมอก็คือ งานอวกาศนั้นความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นได้ในวันเดียวหรือปีเดียว สิ่งที่เกิดขึ้นในปีก่อนไม่ได้การันตีความสำเร็จของปีนี้ และสิ่งที่เกิดขึ้นในปีนี้ไม่ได้แปลว่าปีหน้าจะเกิดหรือไม่เกิดอะไร อวกาศคือเกมยาว และสุดท้ายความคุ้มค่าของมันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการทำอย่างต่อเนื่อง เหมือนกับที่โครงการที่เกิดขึ้นในปีนี้ก็ล้วนแต่ถูกสานต่อมาจากกิจกรรมในปีก่อน ๆ
Buddhaspeed Thai Space สาธุ 99
เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co