สเปซทีเอชดอทซีโอ สื่อออนไลน์ด้านอวกาศก่อตั้งมาแล้วเป็นเวลา 2 ปี ซึ่งตอนนี้มีผู้ติดตามมากกว่าสองแสนคนในทุกช่องทาง รวมถึงมียอดการเข้าถึงบน Social Media มากกว่าเดือนละล้านการเข้าถึง ในสองปีที่ผ่านมาเราได้สะท้อนภาพของวงการอวกาศโลกว่าได้เกิดอะไรขึ้นทั้งในแง่ของ อดีต และปัจจุบัน การ Live ในวันครบรอบ 50 ปีของ Apollo 11, การถ่ายทอดสดการแถลงข่าวภาพถ่ายแรกของหลุมดำด้วยกล้อง Event Horizon Telescope ซึ่งมียอดการเข้าชมมากกว่า 100,000 ครั้งในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ไปจนถึงประสบการณ์ในการร่วมงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ตั้งแต่สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ, องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ, สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ ในการมีบทบาทในด้านการสื่อสารวิทยาศาสตร์ในสังคมไทย
นอกจากการทำงานที่เป็นการสื่อสารบนออนไลน์ เรายังได้จัดงานฝั่งออฟไลน์ตั้งแต่การจัด Keynote Ignition Sequence Start ในงาน Thailand Space Week และการเป็น Contractor ผู้ออกแบบและจัดทำเนื้อหานิทรรศการ Mission to the Moon ในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์ฯ ที่อิมแพคเมืองทองธานี
- พาชมนิทรรศการ Mission to the Moon ภารกิจพิชิตดวงจันทร์ งานมหกรรมวิทย์ฯ 50 ปี Apollo
- เดินเที่ยวพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์กับไอเดียและไอซี กับบทสนทนาของเด็กบ้าอวกาศ
ตลอดสองปีที่ผ่านมาสิ่งที่เราสังเกตได้เลยก็คือ เนื้อหาคอนเทนต์ด้านอวกาศไม่ใช่ข่าวที่วิชาการหรือข่าวไกลตัว แต่เป็นสิ่งที่เราสามารถหยิบจับมาพูดคุยกันได้ทั่วไป หรือ Topics เป็น Common Topics แนวคิดนี้เกิดจากที่ว่า สมัยเด็กทุกคนก็จะมีความชอบเป็นของตัวเอง อาจจะเป็นเรื่องไดโนเสาร์ เรื่องรถยนต์ และอวกาศก็กลายเป็นหนึ่ง Topics ที่เป็นความชอบในวัยเด็ก เพียงแต่ว่าสภาพสังคมและระบบการศึกษา ได้ทำให้ความชอบเหล่านี้กลายมาเป็นเรื่องวิชาการ แม้ว่าจะเป็นเรื่องเดียวกัน แต่ด้วยวิธีการถ่ายทอดและการ “แบ่งแยก” โลกในหนังสือกับโลกแห่งความเป็นจริง ทำให้เนื้อหาที่น่าสนใจพวกนี้กลายเป็นเรื่องวิชาการที่สุดท้ายจบไปกับการสอบเพื่อวัดผลเท่านั้น
ในขณะเดียวกัน การปรากฏตัวขึ้นของสเปซทีเอช เป็นสิ่งที่พิสูจน์ว่าเนื้อหาด้านอวกาศและวิทยาศาสตร์เชิงลึก สามารถเป็นหัวข้อที่เราพูดคุยกันได้ในชีวิตประจำวัน เหมือนกับภาพยนตร์ หนัง เพลง ละคร ต่างกันตรงที่วิทยาศาสตร์เป็น Non-fiction มันสามารถสะท้อนภาพของสังคม, วิทยาการ, วัฒนธรรม หรือแม้กระทั่งมุมมองต่อจักรวาล หรือคำถามอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์ถึงชีวิตและธรรมชาติ
ใน 2 ปีที่ผ่านมาเรา “นำความชอบกลับมา” เรา “เป็นพื้นที่” เรา “เป็นผู้เริ่มต้นบทสนทนา” เราทำให้เห็นว่าข่าววิทยาศาสตร์สามารถมีอารมณ์ร่วม ความรู้สึก ความตื่นเต้น ความสนุก ความตลก ความเศร้า ได้
คำถามก็คือ แล้วในอนาคตเรามองภาพของอวกาศในไทยไว้ว่าอย่างไร แล้วสิ่งที่เราทำมาตลอด 2 ปีนี้จะนำไปสู่อะไรกันแน่ ?
นับตั้งแต่วันแรกที่เราเข้ามาเป็น “ตัวละคร” ในแวดวงของอวกาศไทย เราได้พบกับอีกหลาย ๆ ตัวละคนที่อาจจะเป็นตัวละครที่ซ่อนไว้ ตั้งแต่ Lab วิจัยแห่งอนาคตที่กำลังทำเทคโนโลยีอวกาศสุดล้ำ ได้เจอกับหน่วยงานรัฐบาลที่มีผลงานในแวดวงอวกาศโลกมากมาย ได้เจอกับความ “บั๊ก” ของระบบในการเกิดการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์มากมาย ในขณะเดียวกันเราก็ได้เรียนรู้และเข้าใจสภาพสังคมของประเทศไทย
Informative Science และ Business
เราเริ่มจับ Key ได้ 2 ตัวก็คือ Informative Science และ Business จากการได้เข้ามาในแวดวงของวิทยาศาสตร์ไทย เรารู้สึกว่าวิทยาศาสตร์ไทยนั้นไม่ได้แพ้ไปกว่าประเทศอื่นบนโลก ประเทศไทยมีนักวิทยาศาสตร์ที่ทำงาน CERN, NASA, JPL, ESA, LIGO และหน่วยงานด้านวิทยาศาสตร์ชั้นนำ มีหน่วยงานดาราศาสตร์ที่ทำงานระดับ Global Scale หลาย Project แม้กระทั่งในระดับของสังคมรอบตัว นักวิทยาศาสตร์แต่ละคนที่เคยพบปะพูดคุยกับเราก็ล้วนแล้วแต่มีทักษะความสามารถทั้งสิ้น แต่อะไรคือความ “ยาก” ที่ทำให้ประเทศไทยยังไม่มีผลงานที่สามารถนำมาใช้ได้จริง
- FREAK lab และทีม ปล่อยคอร์ส Astrobiotech โหลดฟรี หลังเปิดสอนครั้งแรกในไทย
- กลุ่มวิจัยอนาคต จัดเสวนา “นาSA” Astrobiotechnology ครั้งแรกในไทย ร่วมฟรี 16 ธันวาคม
เรามองว่าสิ่งที่สังคมไทยยังขาดหายคือ Informative Science เรายังไม่รู้สึกว่าวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่จับต้องได้ มองในสองแง่ แง่แรกกระบวนการคิด เราก็ยังไม่รู้สึกว่าการคิดแบบวิทยาศาสตร์ทำให้ชีวิตดีขึ้่นได้อย่างไร ในขณะที่แง่ที่สอง องค์ความรู้ (เช่น การค้นพบ, การทำความเข้าใจธรรมชาติ) ก็ยังไม่รู้ว่าการที่เราสามารถจรวจจับคลื่นวัตถุท้องฟ้าทำให้ชีวิตเราดีขึ้นอย่างไร วิทยาศาสตร์สำหรับสังคมไทยจึงอาจจะเน้นไปโฟกัสสิ่งที่จับต้องได้ทันทีอย่าง สิ่งประดิษฐ์ หรือผลผลิตที่เพิ่มขึ้นในทางปริมาณ
Key ของ Informative Science ก็คือ ทำอย่างไรให้ “คนรู้สึกว่าการรู้วิทยาศาสตร์นั้นดีกับชีวิต” และไม่ได้มองวิทยาศาสตร์หรืองานวิจัยแค่ในแง่ของผลผลิต หรือสิ่งประดิษฐ์
ส่วนใน Key ที่สอง เป็นผลสืบเนื่องมาจาก Key แรกคือ Business ประเทศไทยในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จริง ๆ แล้วในแง่ของ Tech Business นั้นไม่น่าเกลียดเลย และมี Tech Company ต่าง ๆ มากมาย แต่ถ้าพูดถึงการเข้ามา Invest ในด้าน Deep Science (เช่น Biotech, Space, High-energy Physics) ยังน้อย เรายังรู้สึกว่างานพวกนี้เป็นงานวิจัย เป็นหน้าที่ของสถานศึกษา
ในขณะเดียวกัน เราไม่สามารถโทษทั้ง Society และ Business ไปพร้อมกันได้ เนื่องจาก
- Society ยังมองวิทยาศาสตร์ และอวกาศไม่ถึงแก่นกระบวนการ
- Business ยังมองไม่เห็นอวกาศในแง่ของโอกาส และอนาคตของธุรกิจ
ซึ่งจริง ๆ สองสิ่งนี้เกิดขึ้นแล้วในต่างประเทศ ยกตัวอย่างประเทศใกล้ตัวอย่างญี่ปุ่นอวกาศกลายเป็น Culture หนึ่ง ซึ่งสภาพสังคมที่รัฐบาล Invest ไปในเทคโนโลยีอวกาศ การมีจรวดเป็นของตัวเอง การมีนักบินอวกาศ การสร้างหนัง สร้างภาพยนต์ การ์ตูน Space Brother อะไรก็ตาม ทำให้อวกาศเป็น Topic หนึ่งในญี่ปุ่น Business ซึ่งจริง ๆ แล้ว ธุรกิจก็ไม่ใช่ว่าเกิดขึ้นมาลอย ๆ แต่เกิดขึ้นมาจาก “คน” เมื่ออวกาศกลายเป็น Culture ที่ฝังอยู่ในหัวของคน ของ Decision maker การมองเห็นโอกาสก็ง่ายกว่า
คงไม่ต้องพูดถึงในสังคมอย่างประเทศสหรัฐอเมริกาที่ลงทุนใหญ่ด้านอวกาศไปกับโครงการ Apollo จนทุกวันนี้เทคโนโลยีที่เราใช้กันล้วนแล้วแต่มาจากอวกาศ
ทีนี้ถ้าเราย้อนกลับไปที่เราบอกว่า สเปซทีเอช ทำให้อวกาศกลายมาเป็น Topic ที่พิสูจน์มาสองปีแล้วว่าเราอยู่ได้ เรามีผู้สนใจ เรามีผู้ติดตาม เรามีคนที่รอชมการลงจอดบนดาวอังคาร เรามีคนที่รอดูภาพถ่ายแรกของหลุมดำ เรามีคนที่เชื่อว่าวิทยาศาสตร์คือสิ่งที่เราพบเห็นกันในชีวิตประจำวัน สิ่งนี้จะนำไปสู่ Culture วัฒนธรรมด้านอวกาศที่ไม่ใช่แค่สิ่งที่อยู่ในตำราอีกต่อไป
- เราไม่ได้สำรวจอวกาศเพื่อทิ้งโลก แต่เพื่อดูแลกันได้ดีขึ้นไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในจักรวาล
- จงฝากรอยเท้าไว้ในจักรวาล และฝากความคิดไว้ในความทรงจำ เพื่อชีวิตอันเป็นนิรันดร์
- Pale Blue Dot ภาพถ่ายที่บอกว่าดาราศาสตร์คือความอ่อนน้อมถ่อมตน
ดังนั้นสิ่งที่เราต้องทำก็คือ เราต้องสร้างสังคมที่ Informative Science มองวิทยาศาสตร์อยู่ในชีวิต และ ทำให้ Business มองเห็นโอกาสในการเข้ามาลงทุนในธุรกิจด้านอวกาศหรือนวัตกรรมอันเกิดจากการศึกษาอวกาศได้มากที่สุด
อะไรคือคอนเทนต์อวกาศแห่งอนาคตที่ตอบโจทย์ทั้ง Culture และ Business
สื่อออนไลน์สเปซทีเอช จะทำคอนเทนต์ หรือมากไปกว่าคอนเทนต์อย่างไร เพื่อสร้าง Informative Science ให้กับสังคม และทำให้ Business มองเห็นภาพรวมของกิจกรรมอวกาศทั้งในประเทศไทยและทั้งของโลก
- คอนเทนต์ต้อง Informative ไม่ใช่แค่ Entertainment ซึ่งข้อนี้เรามองว่าเป็นสิ่งที่เราทำอยู่แล้ว เพราะถ้าสังเกตเราจะไม่ใช้วิธีการนำข่าวมาแปล หรือบอกแค่ว่าใครทำอะไรที่ไหน แต่สิ่งที่เราทำคือ เรานำเอาสิ่งที่เกิดขึ้นมาบอกเล่าแล้วพาคิดไปในเชิงกระบวนการ เป็นคอนเทนต์ที่มีการตอบคำถามในเชิงเหตุและผล เป็นการชวนคิดมากกว่าชวนฟัง ทำอย่างไรให้คนอ่านอ่านแค่ 20% แต่คิด 80%
- Futuristic Trend and Prediction แม้ว่าเราทำคอนเทนต์ให้ Society และ Business คิดไปพร้อมกับคอนเทนต์ แต่เราก็สามารถ “ช่วย” ในมุมมองของเราว่า อนาคตจะเป็นอย่างไร, เราจะใช้ชีวิตกันอย่างไรในอนาคต การที่เกิดสิ่งนี้ขึ้นจะนำอะไรเข้ามา เพราะสเปซทีเอชวาง Position คือกลุ่มคนที่ “สนใจและศึกษา” ภาพรวมของอวกาศโลกมาตั้งแต่สมัยนิวตันด้วยซ้ำ การทำ Prediction จึงไม่ใช่แค่หน้าที่ของ Society หรือ Business แต่เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องทำนายได้
- Space Activist ในช่วงแรก เรานิยามตัวเองว่าเป็น Space Nerd ซึ่งสุดท้ายแล้วโอกาสในการสร้างความเปลี่ยนแปลงต่ำ เพราะทำหน้าที่แค่เล่าหรือคลุกคลีกับสิ่งที่ตัวเองสนใจ แต่หลังจากที่เราเปิดตัวว่าเราอยากสร้างความเปลี่ยนแปลงในอวกาศไทย เราได้ร่วมงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ได้ลงสนามจริง ทำให้เรารู้สึกว่าเรามีพลังมากกว่าแค่การชวนคุย แต่เราต้องลุกขึ้นมาปลุกระดม ตะโกน สร้างแรงบันดาลใจ และโจมตีศัตรูของการพัฒนาด้านอวกาศไทย สุดท้ายแล้ว การทำงานในเชิง Active ช่วยให้เราเข้าใจ “สนาม” และเห็นโอกาสในการสร้างความเปลี่ยนแปลงได้จริง ๆ
ปัจจุบัน เราเดินเข้าหากลุ่มคนต่าง ๆ ทั้งในฝั่งของรัฐบาล หน่วยงานวิทยาศาสตร์, ภาคธุรกิจ, ภาคการศึกษา และสังคม ผ่านช่องทางสื่อออนไลน์ และออฟไลน์ ดังนั้น 2 ปีที่ผ่านมา เป็นเหมือนกับการลองสนาม แต่นับจาก 2020 เป็นต้นไป เราจะทำให้อวกาศไทยไม่ใช่แค่ Topic แต่เป็นสิ่งที่จับต้องได้ Society มองวิทยาศาสตร์เป็นแก่น Business มองอวกาศเป็นโอกาส เราจะเป็น Activist ที่ไม่ใช่นั่งทำคอนเทนต์อยู่หลังจอ แต่เราต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลงในระยะยาวเพื่อดึงให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่มีผลงานด้านอวกาศเป็นที่ได้รับการยอมรับ
เพราะสุดท้ายแล้วเราผ่านยุคปฏิวัติวิทยาศาสตร์ที่ทำให้คนมองโลกตามความเป็นจริง เราผ่านยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมที่ทำให้เราสามารถสร้างโลกในแบบที่เราต้องการ ตอนนี้เรากำลังถูกท้าทายด้วยความอิ่มตัวของความสามารถด้านการผลิตและการบริหารจัดการ สิ่งที่เราจะต้องลงลึกมีแค่ 2 อย่างคือ 1. การเดินทางไปยังดินแดนที่ต่างออกไป และ 2. การทำความเข้าใจธรรมชาติให้ลึกซึ้งกว่าเดิม
คงจะไม่มีอะไรที่ตอบสนองสองสิ่งที่กล่าวมานี้ไปมากกว่าการสำรวจอวกาศอีกแล้ว