สเปซเอกซ์(เพรส) สงคราม ส่งด่วน ในโลกอวกาศ เจาะ SpaceX แบบลึกที่สุด

เป็นเวลากว่าสองอาทิตย์เข้าไปแล้วที่ซีรีส์ สงคราม ส่งด่วน ได้เข้าฉายใน Netflix ซึ่งยอมรับตามความจริงว่าเราไม่ได้ดูตั้งแต่ Day 1 หรอก กว่าจะได้ดูก็เข้าอาทิตย์ที่สองหลังเห็นหลาย ๆ คนเริ่มพูดถึงกัน ด้วยความที่ส่วนตัวไม่ใช่คอหนังหรือคอซีรีส์ชนาดนั้นเลยจะไม่ค่อยได้ดูอะไรตามกระแสขนาดนั้นเท่าไหร่ แต่ก็เพิ่งมารู้ที่หลังว่ามีคนใกล้ตัวได้แก่คุณ ปั๊บ ชยภัทร ได้เข้าไปทำเป็นเบื้องหลังให้กับซีรีส์เรื่องนี้เลยลองเข้าไปดูหน่อยดีกว่า ปรากฏว่าเป็นเรื่องที่เหลือจะเชื่อสุด ๆ ที่วงการสื่อบันเทิงไทยไปได้ไกลขนาดนี้

เอาเป็นว่าไม่ได้จะเขียนบทความรีวิวซีรีส์หรือชื่นชมศักยภาพคนไทยอะไรหรอก (ฮา) แต่หลังดูซีรีส์จบไปทั้ง 7 ตอนแล้วกลับมาความรู้สึกคุ้นแปลก ๆ ไม่ใช่เพราะมันอิงมาจากธุรกิจ Express ที่เป็นต้นแบบให้กับซีรีส์เรื่องนี้ แต่เรามองว่าอะไรแบบนี้มันก็กำลังเกิดขึ้นกับภาคอุสาหกรรมอวกาศอยู่เหมือนกัน สำหรับหลายคนที่ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับอุตสาหกรรมนี้มาระยะนึง เราว่าหลายคนน่าจะเห็นความเป็นธุรกิจอวกาศในอเมริกาจากซีรีส์เรื่องนี้ไม่มุมใดก็มุมหนึ่ง แถมที่ฮาคือการทำ Express กับการทำ Sapce Launch มันดันคล้ายกันในกันเรื่องของ Logistic ด้วย เดี๋ยวในบทความนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักเรื่องราวของมือใหม่ในตลาด Space launch สู่การไล่บี้กินส่วนแบ่งของเจ้าตลาดกัน

จรวด Falcon 9 ขณะนำส่งดาวเทียม Starlink ให้กับ SpaceX เอง ที่มา – SpaceX

SpaceX ชื่อนี้มีที่มา และเหตุผลว่าทำไมต้อง X

ชื่อบทความจริง ๆ ก่อนที่ทุกคนจะด่าเราไปมากกว่านี้ ใช่ X ในชื่อ SpaceX มันคือ Exploration แม้ว่าสิ่งที่กำลังเป็นอยู่ในตอนนี้แทบจะไม่ต่างจากคำว่า Express เท่าไหร่ แต่แน่นอนว่าถ้าพูดถึงจรวด หากลองไปถามเด็กรุ่นใหม่แถวบ้านว่านึกถึงอะไร ยังไงส่วนใหญ่ก็จะตอบว่า SpaceX แน่ ๆ เพราะมันแทบจะเป็นภาพจำในยุคนี้ไปแล้วว่าถ้าพูดถึงการส่งของสู่อวกาศด้วยจรวด หากอยากส่งของในราคาถูกก็ต้องพึ่งพาเจ้านี้แหละ ไหนจะเรื่องการนำจรวดกลับมาลงจอดแทบจะทุกวัน รวมถึงปรัชญาที่แปลกกว่าใครอย่างการพยายามทำให้มนุษย์กลายเป็นเผ่าพันธุ์ที่สามารถอยู่บนดวงเคราะห์ได้หลายดวงหรือ Multi-planetary Species ก็ยิ่งทำให้บริษัทแห่งนี้ถูกเป็นที่พูดถึงกันในช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา แต่กว่าจะกลายเป็นบริษัทที่เป็นที่พูดถึงและได้รับการยอมรับในอุตสาหกรรมแบบทุกวันนี้ เรียกได้ว่าลำบากพอตัวกว่าจะมาถึงจุดที่เป็นอยู่ได้

จรวด Falcon Heavy ของ SpaceX ที่เป็นจรวดที่ทรงพลังที่สุดที่ใช้ในการรับส่งสิ่งของไปอวกาศให้กับลูกค้า ที่มา – SpaceX

หลายคนอาจจะทราบมาบ้างว่า Elon Musk เคยทำธุรกิจด้านการทำธุรกรรมออนไลน์อย่าง X.com มาก่อนในปี 1999 และใครจะไปรู้ว่ามันประสบความสำเร็จอย่างมากก่อนที่จนถูกควบรวมกับบริษัทคู่แข่งและถูกเปลี่ยนชื่อเป็น PayPal ในปี 2001 หลังจาก Musk ถูกเชิญออกจากการเป็น CEO ของ PayPal ก่อนที่ในเวลาต่อมา Musk จะกลับไปให้ความสนใจในเรื่องของการสำรวจอวกาศอีกครั้งเหมือนเมื่อสมัยที่ยังเป็นวัยรุ่น

ในหนังสือเรื่อง Elon Musk โดย Ashlee Vance ซึ่งเป็นหนังสือชีวประวัติเล่มแรก ๆ ของ Elon Musk ได้พูดถึงเหตุผลหลายประกาศที่เขาอยากมาทำโครงการอวกาศ แน่นอนว่าเขาพบว่า NASA ในตอนนั้นไม่มีแผนการที่จะส่งมนุษย์สู่ดาวอังคาร จากการค้นพบนี้เองทำให้เขามีความรู้สึกบางอย่างที่ซักวันมนุษย์จะต้องไปเหยียบดาวอังคารและกลายเป็นเผาพันธุ์หลากหลายดาวเคราห์ให้ได้ หลังจากนั้น Musk ก็ได้ตระเวนไปยังงานประชุมด้านอวกาศและมอบเงินทุนให้กับการแข่งขันเสนอไอเดียการเดินทางในอวกาศสำหรับมนุษย์ในงานต่าง ๆ ซึ่งร่วมถึงงานของ The Planetary Society และ Ansari X Prize ซึ่งในตอนนั้นเขายังเคยเข้าร่วมกับ Mars Society เป็นระยะเวลาสั้น ๆ อีกด้วย แสดงให้เห็นว่าตัวเขามีความสนใจในเรื่องของ Human Spaceflight ที่มากกว่าคนปกติทั่วไป

ในปีเดียวกันเขาได้รู้จักกับวิศวกรหลายคนที่ได้ร่วมกับ Mars Society ซึ่งได้มีการพูดคุยกันก่อนที่จะตั้งโครงการ Mars Oasis โครงการสำหรับการทดลองปลูกพืชด้วยดินของดาวอังคารในเวลาต่อมา โดยสามารถย้อนอ่านบันทึกที่ Elon Musk พูดถึงโครงการ Mars Oasis ได้ใน Opportunities in Space: Mars Oasis ซึ่งการทำแบบนี้จำเป็นต้องมีภารกิจแบบ Sample Return เพื่อนำตัวอย่างดินกลับมายังโลก ทำให้เขาได้รวมรวมทีมเพื่อเดินทางไปยังรัสเซียถึงสองครั้งระหว่างปี 2001 จนถึง 2002 เพื่อขอเข้าซื้อขีปนาวุธข้ามทวีป Dnepr เพื่อดัดแปลงเป็นจรวดสำหรับส่งของสู่อวกาศ (ซึ่งดาวเทียม THEOS ดวงแรกของไทยก็ถูกปล่อยด้วย Dnepr นี่แหละ) แต่จากการเดินทางไปเยือนรัสเซียก็กลับถูกปฏิเสธที่จะขายให้จากทางการถึงสองครั้งแม้ว่าทางฝั่งรัสเซียจะเสนอขายให้เพียงลูกละ 8 ล้านเหรียญสหรัฐ ก่อนที่ Musk จะตอบโต้การปฏิเสธดังกล่าวไปว่า “ไอรัสกี้มึงจำคำกูไว้นะ กูจะทำจรวดของกูเอง กูจะสร้างให้ใหญ่กว่ามึงสิบเท่า แล้วกูจะกลับมาเหยียบหน้ามึง” (ผิด ๆ)

ขีปนาวุธ Dnepr ของรัสเซีย ที่ Elon Musk พยายามจะขอซื้อเพื่อส่งสิ่งของไปอวกาศ ที่มา – ISC Kosmotras

หลังความล้มเหลวในการพยายามเข้าซื้อ Dnepr สำหรับ Mars Oasis ทำให้ทั้ง Musk และทีมต้องกลับมาตั้งหลักกันใหม่เพื่อทำความเข้าใจอุตสาหกรรมกันอีกครั้ง จากการกลับมาศึกษาอุตสาหกรรมอวกาศในครั้งนี้ทำให้ Musk ตระหนักได้ว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นมีความไม่ยั่งยืนเหมือนกับโครงการ Apollo เมื่อยุค 1960 และเชื่อว่าหัวใจหลักของการจะไปดาวอังคารได้อย่างยั่งยืนคือการทำให้ระบบการส่งของสู่อวกาศนั้นมาราคาที่ถูก ในปีเดียวกันเขาได้เชิญวิศวกรที่อยู่ในวงการการบินอวกาศหลายคนในช่วงนั้น หนึงในนั้นคือ Tom Mueller ที่เรารู้จักกันดีในฐานะวิศวกรผู้ออกแบบเครื่องยนต์ Merlin และ Raptor ในยุคหลัง มาพูดคุยเพื่อหารือกันเพื่อตั้งบริษัท Space Launch ซึ่งเรียกได้ว่าในยุคนั้นถ้าเงินและ Backup ไม่หนาจริงก็คงต้องเป็นกลุ่มบริษัทใหญ่ ๆ ที่ทำงานร่วมกับภาครัฐมาหลายทศวรรษ แต่ถึงกระนั้น Musk ก็ยอมลองเสี่ยงทำอะไรแบบนี้ดูเผื่อว่ามันจะได้ผล พวกเขาได้ตกลงกันว่าจะใช้ชื่อบริษัทว่า Space Exploration Technologies Corporation ที่เดิมทีแล้วจะถูกย่อให้มีชื่อที่เรียกง่าย ๆ ว่า S.E.T. ก่อนที่หลังจากนั้นไม่นานจะถูกเปลี่ยนเป็น SpaceX ที่ไม่รู้ Musk จะหมกมุ่นกันตัวอักษร X อะไรนักหนา ทำให้ SpaceX ได้ถูกก่อตั้งขึ้นในวันที่ 14 มีนาคม 2002 แม้ว่าโดยพฤตินัยแล้วบริษัทจะถูกก่อตั้งชึ้นเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคมในปีเดียวกันก็ตาม

“SpaceX ตัวน้อยจะเขย่าบัลลังก์ยักษ์ Boeing ได้หรือไม่”

แน่นอนว่าด้วยเงินที่มีอยู่จากหุ้นมูลค่ากว่า 180 ล้านเหรียญในปี 2002 ของ PayPal ทำให้ Musk สามารถแบ่งเงินมาได้ครึ่งหนึ่งเพื่อใช้เป็นท่อน้ำเลี้ยงให้กับเด็กแรกเกิดในชื่อ SpaceX แต่การเริ่มพัฒนาจรวดจากศูนย์มันย่อมมีค่าใช้จ่ายที่มากกว่าการไปซื้อเที่ยวบินของจรวดที่มีอยู่ในตลาด แต่อย่างที่ได้เล่าไว้ หัวใจสำคัญของการไปดาวอังคารได้อย่างยั่งยืนคือการทำให้การไปอวกาศนั้นต้องมีราคาที่ถูกลง ทำให้ Musk และทีมวิศวกรกลุ่มเล็ก ๆ ได้เลือกที่จะวางรากฐานสถาปัตยกรรมระบบส่งของสู่อวกาศของตัวเอง เพื่อที่หวังว่าการทำทุกอย่างได้เองแบบ In-house จะสร้างรากฐานที่แข็งแรงในการต่อยอดไปเป็นระบบที่อยู่ได้อย่างยั่งยืน

จากเงินทุนที่มีอยู่แน่นอนว่าพวกเขาจะสร้างจรวดใหญ่ ๆ ระดับ Super Heavy Lift Launch Vehicle หรือแม้แต่ Medium Lift Launch Vehicle เองก็ไม่มีทางเป็นไปได้ ประกอบกับทีมวิศวกรที่มีก็มีขนาดที่เล็กมาก ๆ ทำให้พวกเขาเลือกที่จะเริ่มทำจรวดลำเล็กก่อนโดย Tom Muller ได้เข้ารับผิดชอบในส่วนของการออกแบบเครื่องยนต์ ระบบท่อในจรวด และถังเชื้อเพลิง Chris Thompson รับผิดชอบในการออกแบบตัวถังและระบบแยกท่อนจรวด และ Hans Koenigsmann รับผิดชอบในส่วนของระบบ Avionics โดยรวมของตัวจรวด โดยตัว Musk เองก็ได้ยอมรับตำแหน่งในฐานะหัวหน้าวิศวกรหลังหนึ่งในวิศวกรที่เขาเข้าพูดคุยอย่าง Michael Griffin ปฏิเสธที่จะเข้ารับตำแหน่งดังกล่าวและไม่ได้เข้าทำงานให้กับ SpaceX และต่อมา Musk ก็ได้เชิญ Gwynne Shortwell มาเป็นหัวหน้าฝ่ายขายให้กับบริษัท

ทีมงาน SpaceX ในยุคแรก ภาพนี้ถ่ายในช่วงปี 2002 เราจะเห็น Elon Musk อยู่ด้านขวาของภาพ

แน่นอนว่าในระยะแรก SpaceX มีพนักงานไม่น่าถึงสิบชีวิตด้วยซ้ำทำให้งานในช่วงแรกต่างคนต่างสามารถหมุนเวียนกันทำหน้าที่ต่าง ๆ เพื่อพัฒนาจรวดลำแรกหากมีความจำเป็น จนแล้วจนรอด Falcon 1 ก็ถูกพัฒนาจนเป็นรูปเป็นร่าง ชื่อนี้ Musk ได้ไอเดียมาจากหนัง Space Opera จากยุค 1970 อย่าง Star Wars ที่มียานอวกาศชื่อ Millenium Falcon โดยมันเป็นจรวดระดับ Light Lift Launch Vehicle ที่มีอยู่สองท่อน ใ่นแต่ละท่อนจะมีเครื่องยนต์อยู่หนึ่งเครื่อง และมันถูกออกแบบให้มีค่าส่งที่ถูกโดยพวกเขาเชื่อว่าจะทำให้มันมีค่าส่งที่ราว 6 ล้านเหรียญสหรัฐต่อเที่ยวบิน เอาจริงแม้ว้าจะดูแพงแต่มันกลับถูกกว่าเจ้าอื่น ๆ ในตลาดอย่างน่าเหลือเชื่อ ส่วนหนึ่งเกิดจากการพยายามทำทุกอย่างตั้งแต่การหา Supply Chain จนถึงการประกอบจรวดด้วยตัวเอง ซึ่งต่างจากเจ้าอื่นในตลาดที่เกิดจากการร่วมมือกันพัฒนาระหว่างบริษัทหลายแห่งที่นอกจากระใช้เงินเป็นจำนวนมากแล้วอาจยังมีความไม่ลงรอยกันในเรื่องของเวลาด้วย

ตอนแรก Musk อยากให้จรวด Falcon 1 สามารถบินขึ้นครั้งแรกภายในช่วงปลายปี 2003 ไม่ถึง 2 ปีหลังการก่อตั้ง SpaceX แต่ก็ตามสภาพ “Elon Time” ที่หลาย ๆ คนรู้จักกันดี ไทม์ไลน์มันถูกดีเลย์มาจนถึงธันวาคมปี 2005 ระหว่างนั้นเองทางบริษัทก็ได้มีการประชาสัมพันธ์ออกสู่สาธารณะครั้งแรกในปี 2003 ด้วยการทำ Mockup ขนาด 1:1 ของจรวด Falcon 1 ออกมาจัดแสดง ทำให้ SpaceX เริ่มเป็นที่พูดถึงในหมู่คนที่คลุกคลีอยู่กับอุตสาหกรรมการบินในตอนนั้น ถึงขนาดที่ว่ามีการทำไปเปรียบเทียบกับเจ้าตลาดในตอนนั้นว่ามีการนำไปขึ้นปกนิตยสาร Aviation Week ฉบับ 29 มีนาคม 2004 โดยมีการเขียนกำกับว่า “Can Tiny SpaceX Rock Boeing?”

ซึ่งในตอนนั้น Boeing เป็นผู้ถือสิทธิ์ในการให้บริการส่งจรวด Delta II และ Delta IV Heavy ที่เรียกได้ว่าเป็นเจ้าตลาดในวงการการบินในตอนนั้น ซึ่งก็เกิดจากการแปรรูปนโยบายที่ให้เอกชนเข้ามาทำงานอวกาศได้ที่เราเคยเล่าไปในบทความ NASA เลือกจรวดสำหรับปล่อยยานอวกาศอย่างไร รู้จัก Launch Services Program แสดงให้เห็นว่าความฝันของ Musk นั้นมีความน่าสนใจพอให้คนตั้งคำภามว่าไอหน้าใหม่ไฟแรงคนนี้จะไปได้ซักกี่น้ำกันนะ

เมื่อราวสี่สิบปีที่แล้ว คำถามนี้ถูกถามในวงการอวกาศ ซึ่งทุกวันนี้คำตอบก็คงออกมาชัดเจนอยู่แล้ว

เมื่อพูดถึงการทำจรวด ยิ่งเป็นหน้าใหม่ที่ไม่มีผลงานมาก่อน เป็นคนหรือบริษัท Tech ทั่ว ๆ ไปก็คงไม่มีทางอยากเสี่ยงเอา Payload มูลค่าหลายล้านไปฝากไว้กับใครก็ไม่รู้ที่ไม่มีประสบการณ์มาก่อน แต่ด้วยความโชคดีของ Musk ที่ไปเปิดบริษัท Launch Company ในแผ่นดินสหรัฐฯ ที่โดยพื้นฐานแล้วเป็นประเทศที่ภาครัฐทำกิจกรรมด้านอวกาศมาอย่างยาวนาน ทำให้ในเที่ยวบินแรก จรวด Falcon 1 ได้ถูกว่าจ้างโดยสถาบันแห่งหนึ่งของกองทัพอากาศสหรัฐที่ขึ้นตรงกับ DARPA ทำให้ SpaceX สามารถหาทุนมาใช้ส่งจรวด Falcon 1 ได้สำเร็จ โดยเที่ยวบินแรกของมันเกิดขึ้นเมื่อวันที่ ​​24 มีนาคม 2006

“ตู้ม! ร่วง! โครม!” น่าจะเป็นคำอธิบายที่กระชับที่สุดสำหรับสามภารกิจแรกของจรวด Falcon 1 อย่างที่รู้กันว่า Space is Hard การจะไต้เต้าถึงดารานั้นไม่ง่าย ในสามภารกิจแรก SpaceX กลับต้องพบกับความล้มเหลวด้วยกันถึงสามครั้งตลอดปี 2006 จนถึง 2008 ที่ปัญหาต่างกันจากตัวจรวดทำงานผิดพลาดด้วยปัญหาที่ต่างกัน ในภารกิจแรกตัวเครื่องยนต์ท่อนแรกกลับทำงานล้มเหลวราวครึ่งนาทีแรกหลังตัวจรวดออกจากฐาน ทำให้จรวดร่วงตกกลับสู่พื้นใกล้กับฐานปล่อย ในเที่ยวบินที่สองเกิดปัญหาการสั่นสะเทือนในจรวดท่อนที่สองและเครื่องยนต์ในท่อนดังกล่าวตัดการทำงานก่อนเวลาที่ควรจะเป็นทำให้ตัวจรวดไม่สามารถขึ้นไปถึงวงโคจรได้ และในเที่ยวบินที่สามแม้มีการอัพเกรดเครื่องยนตืท่อนแรกจาก Merlin 1A ไปเป็น Merlin 1C แต่เครื่องยนต์ในท่อนแรกกลับไม่ตัดการทำงานระหว่างการแยกท่อนจรวดทำให้จรวดท่อนแรกที่ยังมีแรงส่งได้พุ่งไปชนกับจรวดท่อนที่สองที่เพิ่งถูกดีดแยกตัวไป นำไปสู่การล้มเหลวของภารกิจ

เรียกได้ว่าตอนนี้แผลค่อนข้างหนักเอาเรื่อง เพราะก่อนหน้านั้นตั้งแต่ปี 2005 SpaceX เองก็ได้ซุ่มพัฒนาจรวดที่มีขนาดใหญ่กว่า Flacon 1 ไว้อีกรุ่น แถมยังโดนข้อผูกพันธ์กับ NASA ที่ว่าด้วยเรื่องของการให้ทุนในการพัฒนาจรวดไม่ว่าจะเป็นโครงการ Commerical Orbital Transportation Services ในปี 2006 ที่ต้องพัฒนาและสาธิตการให้บริการการขนส่งสู่อวกาศในเชิงพาณิชย์ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการทำให้เห็นว่า SpaceX สามารถทำให้เห็นได้จริงว่าบริษัทสามารถแสดงให้เห็นได้จริงว่าตัวเองนั้นคู่ควรกับเงินทุนสำหรับโครงการดังกล่าว ทำให้ในระหว่างนั้นเอง SpaceX ต้องส่งจรวดด้วยทุนของตัวเองทั้งหมด ซ้ำร้ายเงินที่มีอยู่ก็เหลือแค่สำหรับการส่งจรวด Falcon 1 เพียงแค่อีกหนึ่งเที่ยวบินเท่านั้น หากพลาดไป ความฝันในการพามนุษย์ไปเยือนดาวอังคารก็คงเป็นได้แค่ฝันของชายคนหนึ่งไปตลอดกาล

จรวด Falcon 1 เที่ยวบินแรกที่ประสบความสำเร็จในปี 2008 เป็นการต่อลมหายใจให้กับ SpaceX ในตอนนั้น ที่มา – SpaceX

แต่เรื่องไม่คาดฝันก็ได้เกิดขึ้น จากความพยายามอีกครั้งทำให้ SpaceX สามารถส่ง RatSat ก้อนอะลูมิเนียม Mass Simulator สู่วงโคจรได้สำเร็จในวันที่ 28 กันยายน 2008 ซึ่ง Fact ที่น่าสนใจสำหรับภารกิจนี้คือเจ้า RatSat ก็ยังคงอยู่บนวงโคจรตั้งแต่วันนั้นมาจนถึงปัจจุบัน นี่ถือว่าเป็นก้าวที่สำคัญของ SpaceX ที่ทำให้บริษัทรอดตายและอยู่ได้มาจนถึงทุกวันนี้ และจากย่อหน้าที่แล้วเราบอกว่า SpaceX ซุ่มพัฒนาจรวดอีกหนึ่งรุ่น ใช่แล้ว มันคือจรวด Falcon 9 ที่เรารู้จักกันดีในปัจจุบัน เรื่องนี้ต้องขยายความอีกนิดนึง เพราะหลังจาก Falcon 1 ประสบความสำเร็จในภารกิจที่สี่ที่ทำให้ SpaceX สามารถชิงเงินรางวัลจากโครงการ Commerical Orbital Transportation Services มาได้ ทำให้ SpaceX ยังสามารถชนะสัญญาภายใต้โครงการ Commercial Resupply Services ที่อยู่ภายใค้โครงการ Commerical Orbital Transportation Services อีกที

ซึ่งโครงการนี้ทำให้ SpaceX ยังคงต้องทำงานร่วมกับ NASA กันต่อเพราะมันเป็นโครงการสำหรับการจัดหาบริษัทที่สามารถส่งของสำหรับเติมเสบียงให้กับสถานีอวกาศนานาชาติ แต่ SpaceX ในตอนนั้นก็ไม่มีทั้งจรวดและยานอวกาศที่พร้อมสำหรับโครงการดังกล่าว เงินที่ได้จากการชนะการทำสัญญาดังกล่าวจึงกลายมาเป็นเงินทุนสำหรับการพัฒนาจรวด Falcon 9 พร้อมกับยานอวกาศสำหรับเติมเสบียงให้กับ ISS ในชื่อ Dragon อย่างไรก็ตามจรวด Falcon 1 ก็ยังได้บินต่ออีกหนึ่งครั้งในการส่ง Payload ให้กับบริษัทเทคแห่งหนึ่งในมาเลเซียซึ่งกลายเป็นภารกิจเดียวที่ Falcon 1 ได้บินในฐานะภารกิจเชิงพาณิชย์ เราเคยเล่าเรื่องราวกว่าจะเป็นความสำเร็จของ Falcon 1 ไว้ในบทความ ก้าวแรกของ SpaceX สู่อุตสาหกรรมอวกาศกับความล้มเหลวของจรวด Falcon 1

ในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกัน Boeing ก็ได้หันไปคบค้ากับ Lockheed Martin เพื่อร่วมทุนกันตั้งบริษัทอวกาศแห่งใหม่ในชื่อ United Launch Alliance ในปี 2006 โดยแชร์หุ้นกันคนละ 50 เปอร์เซ็นท์เพื่อหวังว่าจะแยกแผนกจรวดของตัวเองออกมาให้เป็นบริษัท Space launch ที่ทำเฉพาะทางไปเลย โดยการรวมตัวในครั้งนี้เป็นการจับจรวดตระกูล Atlas ของฝั่ง Lockheed Martin และตระตระกูล Delta ของ Boeing มารวมพลังเพื่อหวังยังครองตลาดอยู่ต่อไป

ในขณะที่ใครบางคนมีแต่ลมปาก แต่ของเรานั้นมีการกระทำให้เห็นจริง

หลังจาก SpaceX ประสบความสำเร็จกับเที่ยวบินที่สี่ของ Flacon 1 จนได้เงินมาหมุนเพื่อเดินหน้าพัฒนาจรวดรุ่นใหม่ในเดือนกันยายน 2008 แต่เนื่องด้วยบริษัทเองก็ซุ่มพัฒนาจรวด Flacon 9 มาตั้งแต่ปี 2005 ทำให้ในเดือนมิถุนายน 2010 หรือเพียงไม่ถึงสองปีหลังเที่ยวบันดังกล่าวของ Flacon 1 ทาง SpaceX ก็สามารถเข็นจรวด Flacon 9 ซึ่งเป็นจรวดในระดับ Medium Lift Launch Vehicle ออกมาได้สำเร็จ โดยในช่วงแรก SpaceX จะมุ่งเน้นไปที่การทดสอบและส่งจรวดพร้อมกับยาน Dragon เพื่อหาเงินเพิ่มเติมจากโครงการเติมเสบียงให้กับ ISS

สำหรับห้าภารกิจแรก SpaceX ได้ใช้จรวด Flacon 9 ในรุ่น v1.0 ซึ่งเป็นจรวดที่แปลกตาที่สุดในบรรดาจรวดตระกูล Falcon 9 ทั้งในเรื่องของขนาดโดยรวมและการวาง Layout ของเครื่องยนต์ในจรวดท่อนแรก โดยที่น่าสนใจคือในสองภารกิจแรก ตัวจรวดได้ทดลองติดตั้งร่ม Parachute เพื่อหวังว่าจะให้มันสามารถลงจอดแบบ Splashdown ในทะเลเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการนำกลับมาใช้ซ้ำ แต่จากความล้มเหลวทั้งสองครั้งทำให้สามภารกิจที่เหลือไม่ได้มีการติดตั้งร่มแต่อย่างใด แถมในรุ่นนี้ยังเป็นจรวดรุ่นแรกที่สามารถทำให้ยาน Dragon กลายเป็นอวกาศเชิงพาณิชย์ลำแรกที่สามารถเทียบท่ากับสถานีอวกาศนานาชาติได้สำเร็จ

จรวด Falcon 9 รุ่นแรกของ SpaceX พร้อมยานอวกาศ Dragon ที่พัฒนาขึ้นเพื่อส่งเสบียงให้กับสถานีอวกาศนานาชาติ ที่มา – NASA/Jim Grossmann

Fun fact: เทคโนโลยีของยาน Dragon ในชื่อ DragonEye เคยถูกนำขึ้นไปบินร่วมกับกระสวยอวกาศ Discovery ในภารกิจ STS-133 เมื่อปี 2011 เพื่อทดสอบเทคโนโลยีการวัดระยะแบบสามมิติซึ่งต่อมามันได้ถูกต่อยอดไปเป็นตัวช่วยของระบบเทียบท่ากับสถานีอวกาศของยาน Dragon แถมจริง ๆ แล้วเทคโนโลยีเกราะกันความร้อนของยาน Starship ก็เคยถูกทดสอบบนยาน Dragon มาก่อน ทำให้จริง ๆ แล้ว Starship อาจเป็นผู้สืบทอดกระสวยอวกาศในทางจิตวิญญาณก็ได้ (ฮา)

ในช่วงเวลาเดียวกัน ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ในช่วงปี 2011 บริษัท Pratt & Whitney Rocketdyne บริษัทลูกของ United Technologies Corporation (ที่ต่อมาถูกควบรวมร่วมกับ Raytheon) ร่วมกับ United Launch Alliance ก็ได้ออกโปสเตอร์หนึ่งที่บนโปสเตอร์มีรูปจรวด Atlas V ที่ในตอนนั้นเป็นของ ULA และอีกซีกเป็นรูปไมโครโฟนพร้อมเขียนกำกับว่า “Others’ idea of manking noise.” และ “Ours.” คนละซีกรูปกัน

ซึ่งจากอุตสาหกรรมอวกาศของอเมริกาในตอนนั้น เรียกได้ว่า ULA เป็นเจ้าตลาดที่แข็งแกร่งระดับที่คว้า Contract ส่งของให้ภาครัฐเป็นส่วนใหญ่และแทบจะกินตลาดที่ต้องส่งของให้กับกระทรวงกลาโหมทั้งหมด ในขณะเดียวกันพวกหน้าใหม่ในวงการโดยเฉพาะ SpaceX ก็ยังอยู่แค่ในระดับการการพัฒนาจรวดรวมทั้ง Musk ในตอนนั้นก็จะเน้นไปที่การออกสื่อเพื่อประชาสัมพันธ์แนวคิดของการทำจรวดใช้ซ้ำ ซึ่งเหมือนเป็นการพยายามแย่งซีนเจ้าตลาด ทำให้อาจตีความได้ว่าในโปสเตอร์นี้ทั้ง ULA และ P&W Rockedyne ทำออกมาเพื่อสวนในสิ่งที่ SpaceX กำลังทำว่า “ของที่พวกคุณทำมันก็เป็นได้แค่แนวคิดขายฝัน สิ่งที่เราทำนี่สิของจริง ไอน้อง”

โปสเตอร์ที่ Pratt & Whitney Rocketdyne ออกมาแขวะว่าไอเดียของเจ้าอื่นนั้นไม่มีทางเป็นจริง

แต่ก็พูดอะไรมากไม่ได้ ในตอนนั้นสถิติการปล่อยจรวดของ ULA ถือได้ว่าเป็นที่หนึ่งในสหรัฐฯ แถมหลังจากนี้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ULA ก็พยายามเหน็บแนม SpaceX อยู่เรื่อย ๆ แต่ก็รอดูกันไปแล้วกันว่าต่อจากนี้ตลาด Space launch จะไปในทิศทางไหน

หลังจากภารกิจทั้งห้าของจรวด Falcon 9 รุ่นแรกอยู่ในระดับที่สามารถยอมรับได้ ทำให้ SpaceX ได้เข็น Flacon 9 รุ่นใหม่ออกมาในรุ่น v1.1 ที่มีการเปลี่ยนแปลงทั้งขนาดและ Layout ของเครื่องยนต์ในจรวดท่อนแรก รุ่นนี้ถูกอัพเกรดให้มีความสามารถในการควบคุมการตกของตัวบูสเตอร์ในช่วงแรก เพื่อเก็บข้อมูลมาต่อยอดให้สามารถนำตัวบูสเตอร์กลับมาลงจอดได้ ทำให้ในช่วงแรก ๆ Falcon 9 รุ่นนี้จะไม่มีการติดตั้งขาลงจอดเพื่อทดสอบการควบคุมการตกและการจงจอดในน้ำแบบ Soft Landing ก่อนที่จะเริ่มมีการทดสอบการลงจอดพร้อมขาลงจอดในช่วงหลัง เรียกได้ว่าเป็นรุ่นทดลองที่ทำให้ทีมวิศวกรของ SpaceX ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างในการพัฒนาระบบจรวดที่สามารถนำมาใช้ซ้ำได้ ในยุคนี้เองจะเริ่มมีการนำเรือโดรนมาใช้สำหรับเป็นจุดลงจอดกลางทะเลของตัวบูสเตอร์ รวมทั้งมีการก่อสร้างฐานลงจอดบนแผ่นดินสำหรับภารกิจที่หลากหลาย แต่อย่างไรก็ตาม ไม่มีบูสเตอร์ในรุ่น v1.1 ที่สามารถนำมาลงจอดได้สำเร็จ แต่อยากจะบอกว่าดาวเทียม Thaicom 6 และ Thaicom 7 ได้ส่งกับรุ่นนี้แหละ

การส่งดาวเทียม Thaicom 6 ด้วยจรวด Falcon 9 รุ่นใหม่ ที่พัฒนาขึ้นมา ที่มา – SpaceX
การส่งดาวเทียม Thaicom 7 ซึ่งใช้บัสร่วมกับ AsiaSat 6 และปล่อย ด้วยจรวด Falcon 9 ที่มา – SpaceX

แน่นอนว่าจาการร่วมรวมข้อมูลในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ SpaceX นำไปปรับปรุงการพัฒนา Falcon 9 จนในช่วงท้ายปี 2015 ทางบริษัทก็ได้เข็นจรวดรุ่นใหม่ออกมาในรุ่น v1.2 หรือที่รู้จักกันในชื่อ Full Thrust ถือได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของ Flacon 9 เพราะมันถูกอัพเกรดให้สามารถส่งของที่หนักมากขึ้นและสามารถส่งไปที่วงโคจรแปลก ๆ ได้มากกว่ารุ่นก่อนหน้า รวมทั้งถูกปรับขนาดถังเชื้อเพลิงในท่อนที่สองให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น มีการอัพเกรดเครื่องยนต์ครั้งแรกนับตั้งแต่เที่ยวบินที่สามของจรวด Falcon 1 กลายไปเป็นเครื่องยนต์รุ่น Merlin 1D โดยรุ่นนี้เป็นรุ่นแรกที่สามารถกลับมาลงจอดได้สำเร็จ โดยการลงจอดครั้งแรกของมันเกิดขึ้นในวันที่ 22 ธันวาคม 2015 บนฐานลงจอด Landing Zone 1 ก่อนที่จะสามารถลงจอดลงบนเรือโดรนครั้งแรกในวันที่ 8 เมษายน 2016 บนเรือโดรน Of Course I Still Love You

จรวด Falcon 9 ขณะกำลังลงจอดบนเรือโดรน Of Course I Still Love You สำเร็จ ที่มา – SpaceX

โดยในช่วงแรก แม้ว่า SpaceX จะประสบความสำเร็จในการนำจรวดกลับมาลงจอดได้แล้ว แต่มันก็ยังไม่พร้อมที่จะนำกลับมาใช้ซ้ำ จนต่อมาในปี 2017 ก็เริ่มเห็นการนำ Flacon 9 กลับมาบินซ้ำได้แล้ว แต่ก็เรียกได้กว่าจะนำบูสเตอร์แต่ละลำกลับมาใช้ซ้ำได้ก็กินเวลาเป็นปี แต่ก็เป็นอะไรที่เข้าใจได้ ยุคก่อนหน้ากว่ากระสวยอวกาศจะถูกนำขึ้นมาบินใหม่ได้ก็กินเวลาตรวจสอบและซ่อมบำรุงกันเป็นเดือน ส่วนดาวเทียม Thaicom 8 ก็ได้ถูกส่งในยุคของ Full Thrust

การปล่อยดาวเทียม Thaicom 8 ด้วยจขรวด Falcon 9 รุ่น Full Thrust ที่มา – SpaceX

ในปี 2017 มี Minor Change อีกเล็กน้อยสำหรับจรวด Falcon 9 เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของตัวจรวด ทำให้ SpaceX เลือกที่จะเข็นรุ่น Block 4 ตามออก โดยในช่วงแรกจะมีการนำเพียงแค่ท่อนจรวดท่อนที่สองของ Block 4 ไปบินร่วมกับบูสเตอร์ของรุ่น v1.2 เพื่อเป็นการเปลี่ยนผ่านเท่านั้นก่อนที่จะใช้บูสเตอร์รุ่น Block 4 แบบเต็มตัว รุ่นนี้เรียกได้ว่าเป็นแค่ Minor Change จริง ๆ เพราะมันไม่มีอะไรที่น่าจดจำเท่าไหร่ แถมทางบริษัทเองยังระบุว่าจรวดรุ่นนี้ก็เป็นเพียงแค่การเปลี่ยนผ่านไปยัง Flacon 9 รุ่นใหม่

ต้นปี 2018 SpaceX ก็ได้ทำให้โลกตะลึงกันอีกครั้งด้วยการทำท่อนบูสเตอร์ของจรวด Falcon 9 สามท่อนมาประกอบร่างเข้าด้วยกันและตั้งชื่อว่า Falcon Heavy โดยเหตุผลของการทำจรวดรุ่นนี้ออกมาเพราะในตอนนั้นยังไม่เคยมีใครสามารถทำจรวดในตลาด Heavy Lift Launh Vehicle ในราคาย่อมเยาได้จริง ทำให้ SpaceX ลองเลือกที่จะลงไปเล่นในตลาดนี้ดู โดยในเที่ยวบินแรกเป็นการบินเพื่อทำ Flight certification พร้อมการโปรโมทบริษัทด้วยการส่งรถ Tesla Roadster ขึ้นสู่อวกาศ และเหตุการณ์ที่ทำให้ทุกคนไม่มีวันลืมคือการนำ Side Booster ทั้งสองท่อนกลับมาลงจอดพร้อมกันบนฐานลงจอด Landing Zone 1 และ 2 ซึ่งตอนนั้นเป็นข่าวใหญ่โตและเราได้รายงานไปในบทความ SpaceX ส่งรถไปดาวอังคารด้วย Falcon Heavy และลงจอดจรวดสำเร็จ

บูสเตอร์ทั้งสองกลับมาลงจอดหลังการส่งจรวด Falcon Heavy ซึ่งหนึ่งในบูสเตอร์นี้ก็คือลำเดียวกับที่ใช้ส่งดาวเทียม Thaicom 8 ในภาพด้านบนนั่นเอง ที่มา – SpaceX

ในปีเดียวกันเองเอง SpaceX ก็ได้เข็นจรวดรุ่นใหม่ออกมาอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้จะกลายเป็นจุดสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ของจรวดในตระกูล Flacon 9 และอย่าง Falcon 9 Block 5 ในรุ่นนี้คือได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงอะไรหลายอย่างแม้ว่าภายนอกจะแทบไม่ต่างจากรุ่นก่อนหน้าเท่าไหร่นัก แต่มันกลับถูกปรับปรุงในเรื่องของเทคนิคการผลิต การอัพเกรดเครื่องยนต์ที่ใช้ ขาลงจอดรุ่นใหม่ที่มีความฉลาดกว่าเดิม รวมทั้งการอัพเกรดวัสุดของตัว Grid fin ที่มีความทนทางมากขึ้น และที่สำคัญ ในรุ่นนี้มันได้มีการใส่แถบคาดสีดำสุดเท่ที่ในรุ่นก่อนหน้าถูกทำเป็นสีขาวล้วนมาโดยตลอด โดยเหตุผลของการเพิ่มสีดำเข้าไปให้กับตัวจรวดเป็นเพราะเรื่องของการรักษาอุณหภูมิสำหรับบางชิ้นส่วนที่สำคัญ

เอาจริง ๆ ถึงจะบอกว่าเป็นรุ่นสุดท้ายแล้ว แต่นับตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นมารุ่น Block 5 ก็มีการอัพเกรดในบางส่วนอยู่เรื่อย ๆ ทำให้ Block 5 ปีหลัง ๆ จะมีความแตกต่างจาก Block 5 ในช่วงแรก แต่จากการปรับปรุงตลอดมาทำให้ตัว Block 5 ลำใหม่ ๆ สามารถนำกลับมาบินใหม่ได้ง่ายมากขึ้น ทั้งหมดนี้เกิดจากประสบการณ์ที่ถูกสั่งสมมาตลอดเกือบ 20 ปี ทำให้ในตอนนี้ Falcon 9 กลายเป็นม้างานที่สำคัญในอุตสาหกรรมอวกาศของสหรัฐฯ รวมทั้งบริษัทและหน่วยงานจากชาติต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งเราได้รายงานไปในบทความ Falcon 9 Block 5 จรวดรุ่นใหม่ การปล่อยครั้งแรก และอนาคตของมัน

จรวด Atlas V ของ ULA ขณะทำการส่งดาวเทียม AEHF-4 ให้กับกองทัพอากาศสหรัฐในปี 2018 ที่มา – ULA

จริง ๆ สามารถเรียกได้ว่าตั้งแต่ปี 2017 ที่ผ่านมา ULA ก็เริ่มเสียตลาดบางส่วนให้กับ SpaceX ไปแล้ว หากมองเพียงแค่จำนวนในการปล่อยของจรวดในแต่ละปีนับตั้งแต่ปีนี้ แต่อย่างไรก็ตาม การทำ Contract ส่งของให้กับกระทรวงกลาโหมและกองทัพในช่วงนี้ก็ยังถูกกินรวบโดย ULA อยู่ดี เนื่องจากต่อให้สถิติในการบินจะน้อยกว่า SpaceX แค่ไหน แต่ความแม่นยำในการนำ Payload สู่อวกาศและอัตราความสำเร็จของการปล่อยจรวดในแต่ละครั้งก็ยังถือว่าเป็นจุดแข็งของ ULA ที่ยากจะล้มได้ แต่อย่าเพิ่งชะล่าใจไปเพราะในสงครามยังมีอีกหลายศึกให้ได้ประชันกัน

Commercial Crew Program – คนนึงได้หน้า ส่วนอีกคนซวยฉิบหาย

อย่างที่เราบอก ในสงครามมันมีหลายศึก และในศึกที่เรากำลังจะเล่านี้ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เล่าให้ฟังแบบสั้น ๆ มันเกิดจากการปลดประจำการและการยกเลิกโครงการกระสวยอวกาศของสหรัฐฯ ในปี 2011 จากการสูญเสียกระสวยอวกาศไปถึง 2 ลำพร้อมชีวิตคนทั้งคนไปอีก 14 ชีวิต ประกอบกับค่าใช้จ่ายในการนำเนินโครงการตั้งแต่ปล่อยยานไปจนถึงการซ่อมบำรุงนั้นกินงบประมาณที่สูงเกินไป ทำให้ในยุคสมัยของประธานาธิบดี Barack Obama ได้มีการยุติโครงการกระสวยอวกาศไปในที่สุด ผ่านคำสั่งในยุคประธานาธิบดี George W. Bush ทำให้นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาหากสหรัฐฯ ยังอยากจะส่งนักบินอวกาศของตัวเองขึ้นสู่สถานีอวกาศนานาชาติได้ก็ต้องดำเนินการโดยการส่งนักบินไปนั่งยาน Soyuz ของรัสเซียแทน

การแถลงข่าวโครงการ CCDev ของ NASA ในปี 2022 ว่าด้วยเรื่องการพานักบินอวกาศสหรัฐฯ กลับสู่สถานีอวกาศนานาชาติ ที่มา – NASA/Kim Shiflett

จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ในปี 2011 NASA ได้เริ่มดำเนินโครงการ Commerical Crew Program ซึ่งเป็นการร่วมมือกับภาคเอกชนในการพัฒนายานอวกาศรุ่นใหม่เพื่อที่จะสามารถทำให้สหรัฐฯ สามารถส่งนักบินอวกาศได้ด้วยตัวเองอีกครั้ง โดยในช่วงแรกในโครงการนี้ได้มีโครงการย่อยในการให้ทุนศึกษาให้กับบริษัทเอกชนต่าง ๆ ที่สนใจพัฒนายานอวกาศสำหรับมนุษย์นั่งภายใต้ CCDev หรือ Comemrical Crew Development โดยในโครงการนี้มีหลายบริษัทด้วยการที่ได้รับเงินทุนสำหรับวิจัยยานอวกาศแบบต่าง ๆ ตามหัวข้อที่ได้เสนอ โดย Blue Origin ได้เลือกที่จะศึกษา Concept ของการทำยานอวกาศที่มีรูปทรงแบบ Biconic Nose Cone บริษัท Seirra Nevada Corporation ได้เลือกที่จะพัฒนายาน Dream Chaser ที่ต่อยอดมาจากโครงการพัฒนา HL-20 ของ NASA และมาถึงบริษัทที่จะกลายไปเป็นมวยคู่สำคัญอย่าง SpaceX และ Boeing ที่ทั้งคู่เลือกที่จะพัฒนายานอวกาศรูปทรงแคปซูล โดย SpaceX เลือกที่จะต่อยอดยานอวกาศเดิมที่มีอยู่แล้วอย่าง Dragon มีมีรุ่นที่มนุษย์สามารถขึ้นไปโดยสารได้ และ Boeing ที่เลือกการพัฒนายานอวกาศของตัวเองในชื่อ CST-100 Starliner

การเปิดตัวยาน Dragon รุ่นใหม่สำหรับใช้นำส่งมนุษย์ของ SpaceX ในปี 2014 ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องใหม่มาก ณ ตอนนั้น ที่มา – SpaceX
ยานอวกาศ Boeing CST-100 Starliner ที่เป็นคู่แข่งของ SpaceX ในการนำส่งนักบินอวกาศ ที่มา – NASA/Robert Markowitz
เครื่องบินอวกาศ Dream Chaser ของ Seirra Nevada ที่หลายคนลืมไปแล้วว่าอยู่ในสนามกับเขาด้วย ที่มา – NASA/Ken Ulbrich

จริง ๆ แล้วในช่วง CCDev นี่ค่อนข้างมีเรื่องให้น่าเล่าอีกเยอะแต่ขอโฟกัสกับ SpaceX แล้วก็ Boeing ก่อนดีกว่า เพราะทั้งคู่ได้ถูกเลือกให้เป็นบริษัทพัฒนายานอวกาศสำหรับส่งนักบินอวกาศของ NASA ในยุคถัดไป เอาเข้าจริงเดิมทีโครงการ Commercial Crew Program ถูกวางไว้ให้มีการบินแบบไม่มีผู้โดยสารครั้งแรกในช่วงปลายปี 2017 หรือก็คือช่วงที่ SpaceX เริ่มปีกกล้าขาแข็งพร้อมประชันกับ ULA ได้พอดี แต่กลายเป็นว่าฝั่ง Boeing เองได้ประกาศในปี 2016 ว่ามมีปัญหาระหว่างการ Integrate ระบบของ Starliner เข้ากับจรวดที่ถูกวางไว้ให้ใช้ส่งอย่าง Atlas V เนื่องจากว่าจรวดรุ่นดังกล่าวเป็นรุ่นย่อยอย่าง Atlast V N22 ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีสถิติการบินมาก่อน ในขณะเดียวกันเองฝั่ง SpaceX ก็กลับมีปัญหาในปีเดียวกันจากการระเบิดคาฐานปล่อยของ Falcon 9 ภารกิจ AMOS-6 ทำให้จรวด Falcon 9 อาจมีปัญหาที่ไม่ปลอดภัยต่อภารกิจรูปแบบที่ต้องส่งมนุษย์ ทำให้ทั้ง Boeing และ SpaceX ต่างต้องเลื่อนการทดสอบปล่อยยานอวกาศไปจนกว่าจะถึงปี 2018 และก็ดันมีปัญหาอีกครั้งจนทั้งสองบริษัทต้องเลื่อนออกไปทดสอบกันในปี 2019

เอาจริงเล่ามาถึงขนาดนี้ก็ลืมไปเลยว่าจริง ๆ เดิมทีโครงการต่อยอดยาน Dragon ให้สามารถเอาคนไปนั่งได้ เดิมทีจะเป็นแค่การดัดแปลงดีไซน์ของยาน Dragon ที่ถูกใช้ในการเติมเสบียงให้กับ ISS เท่านั้น แต่กลับกลายเป็นว่าต่อมาทีมวิศวกรของ SpaceX กับเจอความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ทำให้ยาน Dragon ถูกยกเครื่องใหม่มีการปรับปรุงสถาปัตยกรรมของยานที่แตกต่างออกไปจากยาน Dragon รุ่นดั้งเดิมกลายเป็น Dragon 2 ที่ตัวยานจะมีจุดสังเกตที่สามารถเห็นได้ชัดเจนคือโหนกทั้งสี่อันที่มีไว้เพื่อเป็นพื้นที่ติดตั้งเครื่องยนต์สำหรับการระบบ Launch Escape สำหรับกรณีฉุกเฉิน

บรรยากาศก่อนการปล่อยของ Falcon 9 และยาน Dragon รุ่นใหม่ในการเดินทางสู่สถานีอวกาศนานาชาติครั้งแรก ที่มา – NASA/Joel Kowsky

ในปี 2019 แม้ว่าทั้ง Boeing และ SpaceX สามารถนำยานของตัวเองขึ้นสู่อวกาศได้สำเร็จ แต่ดูเหมือนว่าในการทดสอบปล่อยยานแบบไร้นักบินในครั้งนี้ SpaceX จะเป็นฝ่ายมีชัยไปก่อนเพราะตัวยาน Dragon 2 ในภารกิจ Demo-1 สามารถเทียบท่าเพื่อเชื่อมต่อกับ ISS ได้สำเร็จ ยาน Dragon 2 เดินทางสู่สถานีอวกาศเป็นครั้งแรก สรุปทุกข้อมูล กลับกัน ยาน Starliner ของ Boeing ในภารกิจ OFT หรือ Orbital Flight Test กลับพบปัญหาจนไม่สามารถนำเข้าเชื่อมต่อกับ ISS CST-100 Starliner ยานอวกาศลำใหม่ความหวังของ Boeing และโลกทุนนิยม ในเที่ยวบินแรก ทำให้ในช่วงนี้ SpaceX สามารถนำไปได้ก่อนหนึ่งก้าว แต่การนำในครั้งนี้ยังไม่ทันได้ทำอะไร เพราะหลังจาก SpaceX นำยาน Dragon 2 จากภารกิจ Demo-1 กลับมา ก็ได้มีการทดลอง Static Fire จนตัวยานระเบิดคาฐานทดสอบจนส่งผลต่อแผนการทดสอบในภารกิจถัดไป ในขณะเดียวกัน Boeing ก็ต้องแก้มือใหม่ในภารกิจ Boe-OFT-2 ที่จะทำให้แผนการทดสอบของ Boeing ถูกดีเลย์ออกไปอีก

แม้ว่าจะมีการระเบิดของยาน Dragon 2 คาฐานทดสอบ แต่ตารางงานก็กลับถูกเลื่อนมาได้ไม่นานมาก เพราะในวันที่ 30 พฤษภาคม 2020 ทาง SpaceX ก็สามารถส่งยาน Dragon 2 สู่ ISS ได้อีกครั้งพร้อมนักบินอวกาศ Doug Hurley และ Bob Behnken ในภารกิจ Crew Demo-2 ซึ่งเรารายงานไปใน Crew Demo-2 ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าได้สำเร็จ ส่งนักบินอวกาศขึ้นวงโคจรจากอเมริกาครั้งแรกในรอบ 9 ปี ทำให้ SpaceX คว้าชัยในการเอา Human Rated Certification สำหรับยานอวกาศของตัวเองได้ในที่สุด ทำให้หลังจากนั้น SpaceX ได้ทำหน้าที่รับส่งนักบินอวกาศให้กับ NASA มาตั้งแต่ปลายปี 2020 จนตอนนี้ในปี 2025 SpaceX สามารถส่งนักบินให้กับ NASA ได้แล้วถึง 11 ภารกิจนับตั้งแต่ Demo-2 จนถึง Crew-10

เจ้าหน้าที่ใน NASA Kennedy Space Center ยืนดูยาน Crew Dragon เทียบท่ากับสถานีอวกาศนานาชาติพร้อมลูกเรือเป็นครั้งแรก ที่มา – NASA/Joel Kowsky

ในขณะเดียวกัน Boeing เองแม้มีการกลับไปปรับปรุงยานอวกาศของตัวเองแล้ว แต่กว่าจะได้ทดสอบบินแบบไร้นักบินอีกครั้งในภารกิจ Boe-OFT-2 ก็ปาเข้าไปกลางปี 2022 จากเดิมที่ควรจะทดสอบในปี 2020 แต่เพราะเนื่องด้วย Software ของยานอวกาศถูกปรับปรุงใหม่อีกครั้งทำให้ NASA ของเข้าตรวจสอบเพื่อให้ใบอนุญาติทดสอบ จนถูกเลื่อนแล้วเลื่อนอีก จนมาถึงที่พร้อมวันปล่อย ก็ดันซวยอีกเพราะโมดูล Nauka ของฝั่งรัสเซียที่เพิ่งถูกส่งขึ้นไปเชื่อมต่อกับ ISS กลับทำงานผิดพลาดเดินระบบขับดันจนเส้นทางของ ISS นั้นคลาดเคลื่อนซึ่งไม่ปลอดภัยสำหรับการเข้าเทียบท่าของยาน Starliner และต้องเข็นกลับโรงจอดไปจนกว่าจะมีการแก้ไขเส้นทางโคจรที่ถูกต้องจนอยู่ในระดับปลอดภัย พอจะได้ปล่อยอีกครั้งก็ดันเจอปัญหาวาลล์ของระบบวาลล์ของระบบขับเคลื่อนบนยาน Starliner อีกจนต้องเข็นกลับไปซ่อมบำรุงอีกครั้ง กว่าจะได้บินก็ปาเข้าไปกลางปี 2022

จนเมื่อกลางปี 2024 Boeing ก็กลับมาอีกครั้งแม้จะทุลักทุเลไปหน่อย แต่ในครั้งนี้ Starliner ก็ได้ถูกส่งขึ้นสู่อวกาศพร้อมกับนักบินอวกาศ Barry Wilmore ​และ Sunita Williams ในฐานะนักบินประจำภารกิจ CFT โดยเดิมทีแล้วมันเป็นภารกิจเพื่อเอา Certification ในการส่งนักบินอวกาศของ NASA ในอนาคต แต่กลับกลายเป็นว่าตัวยานกลับพบปัญหาเรื่องวาลล์อีกแล้ว ซึ่งมันอันตรายเกินกว่าจะให้นักบินอวกาศทั้งสองเดินทางกลับสู่โลกด้วยยานอวกาศลำนี้ ในตอนแรกวิศวกรต่างพยายามเช็คปัญหาและพยายามซ่อมยานจาก Software แต่ก็ทำได้เพียงแค่ยื้อเวลาเท่านั้น แต่จากตาราง จะต้องมียาน Dragon 2 เพื่อเทียบท่าในภารกิจ Crew-9 ทำให้ตัวยาน Starliner ต้องปลดการเชื่อมต่อจากตัวสถานีเพื่อกลับลงมาก่อน ส่วนนักบินอวกาศก็ต้องอยู่บนสถานีไปก่อน สรุปกรณี NASA ตัดสินใจให้ลูกเรือ Starliner Crew Flight Test กลับโลกด้วยยาน Dragon

ยาน Starliner ในภารกิจ Crew Flight Test รอบที่ 2 ที่รอบนี้ ตัวยานดันรั่วทำให้ Boeing ต้องถอนยานกลับสู่โลก ที่มา – NASA

แต่ก็จะย้ำอีกครั้งว่านักบินอวกาศทั้งสองไม่ได้ “ติด” อยู่บนสถานีอวกาศเหมือนที่พวกสื่อไร้จรรยาบรรณหลายแห่งเคลม แต่มันเป็นเพราะเรื่องของการเปลี่ยนตารางงานทำให้นักบินทั้งสองได้รับภารกิจใหม่ในการทำงานบน ISS ก่อนที่จะลงมากับนักบินของภารกิจ Crew-9 ที่ลูกเรือถูกเปลี่ยนให้จากเดินจะขึ้นกันไป 4 คนเป็น 2 คนแทน เพราะขากลับจะได้ให้ทั้ง Barry ​และ Suni กลับลงลงมาด้วย แต่แน่นอน จากการเปลี่ยนตัวลูกเรือกระทันหันทำให้มันกระทบกับรายชื่อลูกเรือประจำภารกิจของยาน Dragon 2 หลังจากนี้ไปเป็นทอด ๆ ซึ่งเราได้วิเคราะห์ไปใน เลิกพูดว่าติดอยู่บนอวกาศ สรุปภารกิจ 287 วัน ของ Butch Wilmore และ Suni Williams และ เมื่อ Starliner ยังไม่พร้อม ผลกระทบต่อตารางลูกเรือของสถานีอวกาศนานาชาติ

สุดท้ายแล้ว ในศึกนี้ นอกจาก SpaceX จะได้หน้าไปเต็ม ๆ อาจจะเพราะความไม่พร้อมของวิศวกรหรือแม้แต่ความซวยซ้ำซ้อนของฝั่ง Boeing เองก็ดี ฝั่ง SpaceX เองยังได้นำยาน Dragon 2 ไปใช้บินในเชิงพาณิชย์อีกหลายภารกิจ จนตอนนี้หากให้นับทั้งภารกิจของ NASA และภารกิจเชิงพาณิชย์แล้ว มีภารกิจด้วยกัน 17 ภารกิจ และในภารกิจเหล่านี้ SapceX ก็ได้พามนุษย์ขึ้นสู่อวกาศไปแล้ว 64 คนด้วยกัน

เริ่มกินส่วนแบ่ง DoD หรือ ULA จะหมดความนิยม?

ระหว่างศึกระหว่างการพัฒนา Dragon สำหรับมนุษย์โดยสารและการพัฒนา Starliner ระหว่างนี้เองเราจะเริ่มเห็น Flacon 9 ในช่วงนี้เริ่มคว้า Contract ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐทีละนิด ตั้งแต่ในช่วงปี 2020 ที่ผ่านมา เราจะเริ่มเห็น SpaceX ปล่อย Payload ให้ทั้งกองทัพอากาศสหรัฐและกองทัพอวกาศสหรัฐมาบ้าง และมีมาเรื่อย ๆ นับตั้งแต่นั้น ถือได้ว่าค่อนข้างน่าแปลกใจ แม้ว่าจริง ๆ แล้วฝั่งกองทัพจะมีไปซื้อเที่ยวบินจรวดจากพวกบริษัทเอกชนหน้าใหม่อยู่บ่อย ๆ แต่การซื้อเที่ยวบินประเภทนี้จะเป็นการส่ง Payload ที่ไม่ได้มีความสำคัญจนบางทีภารกิจล้มเหลวก็ไม่ได้สร้างความเสียหากแก่กองทัพขนาดนั้น แต่ในช่วงหลังกองทัพเริ่มให้ความไว้วางใจ SpaceX ในการส่งยานอวกาศหรือดาวเทียมที่มีความสำคัญระดับสูง ในขณะเดียวกัน ULA เองก็เริ่มยอดตกในช่วงปีหลัง ๆ หรือว่าจริง ๆ แล้วกระทรวงกลาโหมจะเริ่มตัดหางปล่อยวัด ULA แล้วกันแน่

เอาจริง วิเคราะห์กันแบบแฟร์ ๆ เลยคือในช่วงหลัง SpaceX สามารถปล่อยจรวดได้ถี่มาก ๆ พอปล่อยจรวดได้ถี่ขึ้นก็ยิ่งทำสถิติอะไรหลายอย่างได้มากขึ้น แถมไอการปล่อยที่ถี่ขึ้นนี้ก็ไม่ได้ทำให้ Falcon 9 ที่เป็นม้างานของ SpaceX มีอัตราความสำเร็จเท่าเดิม แต่กลับมีเปอร์เซ็นต์ความสำเร็จที่มากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้สถิติโดยรวมของ Falcon 9 ยิ่งดูดีขึ้นไปอีก ยิ่งด้วยค่าใช้จ่ายในการปล่อยของฝั่ง SpaceX เองมีราคาที่ถูกกว่าเจ้าอื่น ๆ ในตลาดเป็นทุนเดิมอยู่แล้วทำให้กระทรวงกลาโหมสามารถประหยัดงบส่งของสู่อวกาศได้ จึงไม่น่าแปลกอะไรหากฝั่งกระทรวงกลาโหมจะเริ่มไว้เนื้อเชื่อใจ SpaceX มากขึ้น ถึงขนาดจ้างปล่อยยาน X-37B ซึ่งมักเป็นยานอวกาศที่ถูกใช้ในการทำภารกิจระดับรับสุดยอดอยู่เป็นประจำ

การปล่อยจรวด Delta IV Heavy สำหรับภารกิจ NROL-44 ในปี 2020 ซึ่งเป็นเส้นเลือดสำคัญให้บริษัทยังคงทำกำไรอยู่ได้ ที่มา – ULA

ส่วนฝั่ง ULA ให้กางสถิติเลยคืออัตราการปล่อยจรวดในแต่ละปีเพิ่งมาเริ่มลดลงตั้งแต่ปี 2016 ทั้งนี้ก็เป็นไปได้หลายอย่าง ทั้งจรวดที่เริ่มทะยอยปลดประจำการ อย่าง Delta II และ Delta IV Medium ที่เพิ่งปลดไปตอนปี 2018 ไหนจะเรื่องการรุกรานยูเครนโดยรัสเซียตั้งแต่ปี 2014 ที่กลายไปเป็นปัญหาทางการเมืองระหว่างรัสเซียและสหรัฐฯ ที่ต่อมาส่งผลให้มีการเลิกซื้อเครื่องยนต์สำหรับจรวด Atlas V เพิ่มเติม ทำให้ ULA อยู่ในสถานะที่ปล่อยจรวดเยอะ ๆ ต่อปีไม่ได้ ไหนจะเรื่องที่จรวดที่มีอยู่ก็ดันมีต้นทุนที่สูงอีก มองยังไงก็สู้พวกบริษัทที่ยึดปรัชญา New Space ไม่ได้แน่ ๆ

สิ่งนี้ทำให้ระหว่างที่ผ่านมา ULA เองก็พยายามพัฒนาจรวดรุ่นใหม่แทนที่ของเดิม ๆ ที่แพงและมีจำนวนจำกัดด้วยการพัฒนาจรวดรุ่น Vulcan Centaur ที่พยายามเดินตามแนวคิดแบบ New Space ด้วยการทำให้มันเป็นจรวดใช้ซ้ำ แต่ก็ยังรั้นอยากแหวกแนวด้วยการทำให้ส่วนที่ใช้ซ้ำได้มีแต่ส่วนของเครื่องยนต์ในจรวดท่อนแรก เพราะจากต้นทุนเครื่องยนต์เป็นส่วนที่แพงที่สุดของจรวด หากเก็บกู้มาใช้ซ้ำได้ก็จะสามารถลดค่าใช้จ่ายไปได้เยอะ แถมตัวบริษัทเองยังเชื่อแนวคิดนี้ถึงขนาดที่กล้าเคลมว่าในระยะยาวมันจะประหยัดกว่าจรวดที่ต้องใช้เทคนิคการทำ Propulsive landing แบบ Falcon 9 จนตอนนี้ Flacon 9 สามารถนำกลับมาบินซ้ำได้ 25 เที่ยวบินต่อบูสเตอร์หนึ่งลำแล้ว

เอาจริงก็ไม่รู้ว่าแนวคิดที่ว่าจะยังประหยัดกว่าอยู่อีกหรือไม่ (ฮา) ยังไม่นับข่าวลือในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเรื่องที่ Boeing และ Lockheed Martin อยากจะขาย ULA ให้บริษัทอื่นมารับช่วงต่ออีก แสดงให้เห็นถึงปัญหาภายในของบริษัทได้ไม่มากก็น้อย รู้จักกับจรวด Vulcan Centaur ผู้สืบทอดความยิ่งใหญ่ของจรวดตระกูล Atlas

จรวด Vulcan Centaur ของ United Launch Alliance ในเที่ยวบินทดสอบครั้งแรกปี 2024 ที่มา – ULA

แต่อย่างไรก็ตามหลังสามารถพัฒนาให้ Vulcan Cantaur สามารถบินในระดับ Operational ได้ ก็เหมือนว่า ULA ยังพอหายใจคล่องคอได้บ้าง แถมก่อนหน้านี้ก็ยังเคลมว่ากระทรวงกลาโหมได้เข้าซื้อเที่ยวบินสำหรับปล่อยดาวเทียมทางการทหารล่วงหน้าอีกเกือบร้อยภารกิจ แถมตัวบริษัทเองก็ยังมีแผนต่อยอดให้ตัวท่อนจรวดท่อนบนอย่าง Centaur สามารถใช้ซ้ำได้ในอนาคต ก็ดูพยายามปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยสุด ๆ ส่วนตัวในฐานะคนที่แอบเชียร์เจ้านี้อยู่บ้างก็เชื่อว่ากระทรวงกลาโหมก็ยังคงเชื่อมันใน ULA อยู่และตัวบริษัทก็ยังไม่ตายง่าย ๆ หรอก เพียงแต่อาจจะไม่สามารถกลับมานำเป็นเจ้าตลาดได้อีกแล้ว แต่ก็นั่นแหละครับ อะไรที่แซะเค้าฝ่ายเดียวเสมอมาก็กลับเข้าตัวตลอด เสียหน้าไม่พอยังโดนหมั่นไส้อีก

ทำอวกาศให้ติดดิน กลยุทธ์หนึ่งของ SpaceX

จากที่บอกว่า SpaceX เริ่มได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากกระทรวงกลาโหมมากขึ้น เพราะสถิติที่ทำไว้ดีขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น จริง ๆ แล้วก็พอจะมีที่มาจากหลายปัจจัย ส่วนหนึ่งคือแนวคิดหนึ่งที่พยายามทำให้อวกาศดูเป็นเรื่องที่ใกล้ตัว หนึ่งในนั้นคือการอาศัยดาวเทียมเป็นช่องทางหาผลประโยชน์รูปแบบใหม่ นั้นคือการทำเครือข่ายดาวเทียมอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง Starlink

โครงการ Starlink คือโครงการสร้างเครือข่ายดาวเทียมที่จะส่งดาวเทียมขึ้นไปเป็นจำนวนมาก (Mega constellation) ขึ้นไปโคจรบนวงโคจรต่ำของโลก เพื่อเป็นตัวรับและส่งสัญญาณจากทั้งภาคพื้นดินสู่ดาวเทียม และจากดาวเทียมสู่ดาวเทียมด้วยกันเอง แนวคิดนี้เกิดจากไอเดียที่ว่าอินเทอร์เน็ตแบบเดิม ๆ ที่ใช้กันอยู่อย่างอินเทอร์เน็ตตามสาย Fiber optic มีข้อจำกัดในเรื่องของยิ่งเข้าไปในป่าหรือบนภูเขา อินเทอร์เน็ตก็จะกลายเป็นเรื่องยากที่จะเข้าถึง การมีอยู่ของอินเทอร์เน็ตดาวเทียมจึงเข้ามาเพื่อช่วยลดจุดบอดของพื้นที่ที่ไม่มีอินเทอร์เน็ตใช้ รวมทั้งหากทำระบบดาวเทียมให้ดี มันจะมี Latency ที่ดีกว่าอินเตอร์เน็ตแบบ Fiber optic อีกด้วย แล้วยิ่งในยุคที่อินเทอร์เน็ตมีความสำคัญในแง่ต่าง ๆ การทำให้อินเทอร์เน็ตเกี่ยวข้องกับอวกาศและทำให้อวกาศกลายเป็นเรื่องติดดินก็ดูจะเป็นช่องทางทำธุรกิจที่น่าสนใจไม่น้อย อ่านเรื่องราวของ Starlink แบบละเอียดได้ที่ เมื่อดาวเทียมมาอยู่บนสายพานการผลิต สิ่งนี้พลิกโฉมวงการอวกาศอย่างไร

การขนดาวเทียม Starlink จำนวนมากขึ้นไปปล่อยบนอวกาศในเที่ยวบินเดียว ที่มา – SpaceX

แน่นอนว่าพอเอาดาวเทียมไปไว้ในวงโคจรต่ำ จะให้ดาวเทียมอยู่ห่างกันมากก็ไม่ได้ จึงต้องมีการวางดาวเทียมให้โคจรชิดกันมากขึ้น นั้นแปลว่าพอยิ่งดาวเทียมชิดกันหากอยากให้มันครอบคลุมพื้นที่มาก ๆ ก็ต้องใช้ดาวเทียมในจำนวนที่มากตาม ซึ่งก็หมายความว่าต้องใช้จรวดจำนวนมากในการปล่อย แต่ด้วยความที่ Falcon 9 เป็นจรวดที่สามารถใช้ซ้ำได้อยู่แล้ว ประกอบกับทำเองทุกอย่างแทบจะ In-house ทำให้ SpaceX จะมีความได้เปรียบเรื่องต้นทุนหากเจ้าอื่นอยากจะทำตาม และนับตั้งแต่กลางปี 2019 เป็นต้นมา SpaceX ก็ได้ส่งจรวดในภารกิจ Starlink ไปแล้วร่วม 160 เที่ยวบิน ในจำนวนเที่ยวบินเหล่านี้รวม ๆ แล้วก็ได้ส่ง Starlink ขึ้นไปแล้วกว่า 9,000 ดวง แม้ว่าจะมีหลายดวงที่หมดอายุและล้มเหลวในการขึ้นสู่วงโคจร แต่ในปัจจุบันก็มี Starlink ที่อยู่ในระดับที่ใช้งานได้ร่วม 7,600 ดวงบนวงโคจร จากจำนวนเที่ยวบินที่เยอะขนาดนี้ ไม่ต้องสืบเลยว่า SpaceX เอาอะไรมาเร่งทำสถิติถึงขนาดที่ทำให้กระทรวงกลาโหมสามารถยอมรับความน่าเชื่อถือของจรวด Falcon 9

Starship อนาคตของการใช้ซ้ำ เป้าหมายสูงสุดที่หนทางยังอีกไกล

แน่นอนว่าความฝันดั้งเดิมของ Musk คือการพามนุษย์ไปเยือนดาวอังคารให้ได้ และทำให้มนุษย์กลายเป็นเผ่าพันธุ์ที่อยู่บนดาวเคราะห์หลายดวง เพื่อที่ซักวันมนุษย์จะสามารถทำสงคราม Innerplanetary War ระหว่างโลกและดาวอังคารได้แบบเรื่องเรือรบอวกาศยามาโตะและ The Expanse เอ้ย ไม่ใช่! จริง ๆ การพยายามนี้เป็นการสร้างหลักประกันว่ามนุษย์จะเพิ่มโอกาสในการอยู่รอดในระยะยาว ซึ่งการสามารถปรับตัวและอยู่อาศัยในที่ต่าง ๆ ที่นอกเหนือจากบนโลกก็ดูเป็นการตอบโจทย์ของปัญหาที่เราไม่มีทางรู้ด้วยซ้ำว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่

จริง ๆ แล้วนับตั้งแต่การก่อตั้งบริษัท SpaceX ทั้งบริษัทเองหรือแม้แต่ส่วนตัว Musk ก็ดีก็ได้เสนอแนวคิดและออก Proposal หลายรายการเกี่ยวกับไอเดัยของการพามนุษย์ไปยังดาวอังคาร โดยหนึ่งในไอเดียที่ดูจะบ้ามาก ๆ ไอเดียหนึ่งจะเป็นการนำยาน Dragon 2 มาดัดแปลงเป็นยานที่สามารถเดินทางไปยังดาวอังคารได้แบบชั้นประหยัดในชื่อ Red Dragon โดยมันจะใช้เครื่องยนต์ SuperDraco ซึ่งเดิมทีเป็นเครื่องยนต์สำหรับระบบ Launch escape ของตัวยานมาเป็นเครื่องยนต์สำหรับการลดความเร็วเพื่อการลงจอดลงบนพื้นดาวได้แบบ Falcon 9 (แถมเคยมีแนวคิดเดียวกันให้ตัวยาน Dragon 2 สำหรับส่งนักบินอวกาศสู่ ISS กลับมาลงจอดบนพื้นเหมือนกัน)

ภาพจำลองยานอวกาศ Dragon ลงจอดบนดาวอังคาร ภายใต้ภารกิจ Red Dragon ที่มา – SpaceX

ไอเดียนี้ถูกพยายามผลักดันถึงขนาดที่ว่าในปี 2014 SpaceX เคยเสนอ Propasal ให้กับ NASA ในการส่งยาน Dragon ไปลงจอดลงบนดาวอังคารเพื่อทำภารกิจแบบ Sample return แต่ NASA ก็ไม่เคยให้ทุนกับโปรเจ็คสุดบ้าระห่ำนี้ เพียงแต่มีการให้ความข่วยเหลือในด้านเทคนิคแทน แต่อย่างไรก็ตามโครงการ Red Dragon ก็ถูกยกเลิกในปี 2017 ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ ยานแคบแบบนั้นในคนเข้าไปอยู่ร่วมครึ่งปีระหว่างการเดินทางคงมีแต่จะสร้างปัญหาสุขภาพให้กับผู้โดยสาร

แน่นอนว่าเหตุผลของการยกเลิกโครงการของ Red Dragon เกิดจากการที่ระหว่างการทำคอนเซ็ปท์ของโครงการนี้หรือจริง ๆ ก็ควรจะเรียกว่าตั้งแต่ช่วงต้นหลังการก่อตั้ง ทาง SpaceX ก็มีการพัฒนาคอนเซ็ปท์ในการสร้างจรวดขนาดใหญ่ที่ดั้งเดิมเลยจะเป็นจรวดที่สามารถขนของหนัก 100 ตันขึ้นสู่วงโคจนต่ำของโลก พร้อมกับไอเดียที่ว่าตัวจรวด จะต้องสามารถใช้ซ้ำได้ทั้งท่อนบูสเตอร์และตัวจรวดท่อนบน และมีการนำดีไซน์ของเครื่องยนต์ Merlin มาขยายใหญ่ใหญ่ขึ้นที่ใน Concept ถูกเรียกว่า Merlin 2 ซึ่งเคลมว่ามันจะมีสมรรถนะเทียบเท่ากับเครื่องยนต์ F-1 ของ Rocketdyne ที่ถูกใช้งานบนจรวด Saturn V โดยหลังความสำเร็จของจรวด Falcon 1 ในปี 2010 SpaceX เองก็ได้ประกาศการพัฒนาจรวดใหม่ในชื่อ Falcon X ก่อนที่ต่อมาจะกลายเป็น Facon 9 จรวด Flacon X Heavy ที่ต่อมาจะกลายไปเป็น Flacon Heavy และ Falcon XX ที่ถือว่าเป็นไอเดียแรก ๆ ของการพัฒนาจรวดขนาดใหญ่ของบริษัท

แต่กว่าจะไปถึงจุดที่ทำจรวดขนาดใหญ่ได้ SpaceX ก็ยังต้องเคลียร์งานที่ถือเป็นพันธะสัญญากับ NASA ไม่ว่าจะเป็นโครงการทำยานเติมเสบียงให้กับ ISS ก็ดีหรือการทำยานส่งนักบินอวกาศของ NASA สู่ ISS ก็ดี ทำให้การพัฒนาจรวดขนาดใหญ่ของ SpaceX ก็ถูกปรับเปลี่ยนและพัฒนาต่อมาเรื่อย ๆ ทำให้ไอเดียของ Falcon XX ถูกเปลี่ยนไปเป็น Mars Colonial Transporter ในปี 2012 ที่เปลี่ยนจากการส่งของ 100 ตันไปที่วงโคจรต่ำของโลกเป็น 100 ตันไปดาวอังคารแทน แสดงให้เห็นว่าเป้าหมายของการพัฒนาจรวดขนาดใหญ่จะต้องเน้นไปที่การเดินทางไปดาวอังคารเป็นหลัก ประกอบกับในปีเดียวกันก็ได้มีการประกาศว่า SpaceX กำลังพัฒนาเครื่องยนต์รุ่นใหม่ที่จะใช้มีเทนเป็นเชื้อเพลิงเทนไอเดียดั้งเดิมอย่างการพัฒนาเครื่องยนต์ Merlin 2 ซึ่งมีเทนเป็นทรัพยากรที่หาได้ง่ายบนดาวอังคาร นั่นแปลว่าหากสามารถสกัดมีเทนออกมาได้ยานอวกาศที่ไปลงจอดก็ไม่ต้องพกเชื้อเพลิงเผื่อสำหรับขากลับมายังโลก โดยได้มีการประกาศว่าเครื่องยนต์รุ่นดังกล่าวจะใช้ชื่อว่า Raptor

แนวคิด Interplanetary Transport System หรือ ITS ซึ่งจะถูกใช้ในการเดินทางไปยังดาวเคราะห์ต่าง ๆ ในระบบสุริยะ ที่มา – SpaceX

แล้วก็เอาอีกแล้ว ในปี 2016 SpaceX เลือกที่จะเปลี่ยนชื่อโครงการพัฒนาจรวดขนาดใหญ่อีกครั้งเป็น “Interplanetary Transport System” หรือ ITS ที่ในคราวนี้ได้มีการเปิดเผยรายละเอียดที่มากขึ้นกว่าแต่ก่อน โดยตัวจรวดจะสามารถส่งของหนัก 300 ตันไปที่วงโคจรต่ำของโลก และถังเชื้อเพลิงของยานจะมีการใช้วัสดุ Composite carbon เพื่อบรรจุเชื้อเพลิงมีเทนและออกซิเจน แถมมีการปรับปรุงสถาปัตยกรรมที่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับ Falcon 9 อย่างการจ่ายฮีเลียมเพื่อปรับความดันถังซึ่งมักมีปัญหาในเรื่องของการรักษาระดับความดัน โดยการปรับปรุงดังกล่าวจะเป็นลักษณะของการเปลี่ยนจากใช้ถังบรรจุฮีเลียมไปเป็นการแบ่งเอาแก๊สส่วนหนึ่งที่เกิดจาก Pre-burner สำหรับหมุนปั๊มของเครื่องยนต์จ่ายกลับไปที่ถังเชื้อเพลิงเพื่อรักษาระดับความดันแทน ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่เคยถูกใช้งานกับกระสวยอวกาศ นอกจากนี้ยังมีการพูดถึงส่วนของจรวดท่อนที่สองมากขึ้น และในปีเดียวกันก็ได้มีการทดสอบการทำงานของเครื่องยนต์ Raptor เป็นครั้งแรก

แนวคิด BFR ที่กลายมาเป็นรากฐานของ Starship และ Super Heavy ที่เราเห็นในปัจจุบัน ที่มา – SpaceX

เพียงไม่ถึงปีในปี 2017 ก็มีการเปลี่ยนชื่ออีกครั้งเป็น BFR ที่ก็แล้วแต่จะตีความว่าย่อมาจาก Big Falcon Rocket หรือว่ามาจาก Big Fucking Rocket ที่รอบนี้มีการเปลี่ยนหน้าตาโดยรวมของตัวจรวด โดยเฉพาะกับจรวดท่อนที่สองที่เริ่มมีการกำหนดทิศทางแล้วว่ามันจะต้องมีแบบที่สามารถให้มนุษย์โดยสารได้ มีแบบที่สามารถส่งของได้สำหรับการทำ Infrastructure พื้นฐานในการอยู่อาศัยบนดาวอังคาร แถมในปีนี้ก็มีความคืบหน้าหลายอย่างในส่วนของเครื่องยนต์ นอกจากนี้ไอเดียการสร้างจรวดที่สามารถเดินทางแบบ Point-to-point ก็เริ่มมีมาในยุคนี้เช่นกัน ที่มีการเสนอแนวคิดทั้งทำเป็นเหมือนระบบขนส่งใหม่ที่เร็วกว่าสายการบินแบบดั้งเดิม ไปที่ไหนก็ได้บนโลกใน 90 นาที หรือแม้แต่การทำระบบส่งของให้กับกองทัพที่กองทัพอากาศสหรัฐเขื่อว่ามันจะไปลงที่ไหนก็ได้ในโลกภายใน 30 นาทีแถมถูกกว่าการใช้งานเครื่องบิน C-5 Galaxy ซึ่งเป็นข่าวใหญ่มากตอนนั้น จรวดรุ่นใหม่ของ SpaceX เดินทางระหว่างทวีป จนถึงระหว่างดวงดาว

ในเดือนธันวาคม 2018 SpaceX ได้ประกาศว่าจะมีการเปลี่ยนจากการสร้างจรวดรุ่นใหม่ด้วย Composite carbon ไปเป็น Stainless steel เนื่องด้วยคุณสมบัติของวัสดุ รวมไปถึงต้นทุนและความเร็วในการผลิตที่ดูจะเหมาะสมมากกว่าสำหรับการตกกลับสู่ชั้นบรรยากาศที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิสูง ก่อนที่ต่อมาในปี 2019 SpaceX จะเริ่มเปลี่ยน BFR ไปเป็นชื่อใหม่อย่าง “Starship” ที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน แถมนอกจากชื่อที่เปลี่ยนไป การออกแบบของ “ระบบ” จรวด ที่นอกจากแค่ตัวจรวดแล้วองค์ประกอบส่วนอื่น ๆ ทั้งระบบปล่อยตัว การติดตั้งเคลื่อนย้ายจรวด หรือแม้แต่ระบบภาคพื้นต่าง ๆ ก็ได้ถูกยกให้เป็นเรื่องที่มีความสำคัญไม่แพ้ตัวจรวด เพราะหากลดต้นทุนส่วนอื่นได้อีกก็จะยิ่งทำให้การปล่อยจรวดมาราคามีถูกลงมากขึ้น ซึ่งเป็นโจทย์ที่กระสวยอวกาศล้มเหลวที่จะพิชิต

การทดสอบยาน Starship ใน High-Altitude Flight Test ในปี 2021 ที่มา – SpaceX

แต่ถึงแม้ Starship จะเป็นชื่อล่าสุดและไม่มีการเปลี่ยนชื่อใหม่มาตั้งแต่ปี 2019 แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้โครงการพัฒนานำเนินไปได้อย่างรวดเร็วแต่อย่างใด เพราะระหว่างการพัฒนาตัวจรวดตลอดระยะเวลาร่วม 7 ปี ตัว Starship ก็ได้รับการปรับปรุงถูกรื้อดีไซน์และถูกเปลี่ยนแปลงอยู่หลายครั้ง แต่จากการพัฒนาที่ผ่านมาทำให้ในตอนนี้เรียกได้ว่า SpaceX เองถือได้ว่าเป็นหนึ่งในบริษัทที่เซียนการพัฒนาเครื่องยนต์ที่ก้าวหน้าที่สุดในโลก จากการสร้างเครื่องยต์ Raptor กว่า 200 เครื่อง และการอัพเกรดใหญ่อีก 2 ครั้ง ทำให้เครื่องยนต์ Raptor สามารถทลายข้อจำกัดทางเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่มีความสำคัญในการพัฒนาเครื่องยนต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเรื่องของวัสดุศาสตร์ที่ทำให้เครื่องยนต์สามารถทนแรงที่มีความดันมหาศาลและอุณหภูมิสูง ๆ ได้มากขึ้น ซึ่งทำให้ตัวเครื่องยนต์สามารถสร้างแรงขับที่มากขึ้นได้ในขณะที่เครื่องยนต์ยังมีขนาดโดยรวมไม่ต่างจากเดิม ประกอบกับการปรับปรุงการออกแบบให้ตัวท่อต่าง ๆ ถูกรวมไว้เป็นชิ้นเดียวกันก็ทำให้น้ำหนักโดยรวมของตัวเครื่องยนต์ในรุ่นหลังลดลงกว่าเครื่องยนต์ Raptor ตัวแรก ๆ ที่ถูกพัฒนา

แต่ถึงเครื่องยนต์จะมีความก้าวหน้าระดับที่ไม่มีใครน่าจะตามได้ทันในตอนนี้ แต่ SpaceX เองก็กลับติดอยู่กับปัญหาของการทำให้ตัวจรวด โดยเฉพาะกับส่วนของยาน Starship สามารถอยู่ในระดับที่สามารถใช้งานได้จริง แม้ว่าตั้งแต่ตัว Prototype อย่าง Starhopper ผ่านการทดสอบลงจอดแบบ Hop test ของยานแบบ Full scale มาจนถึงความสำเร็จในการนำยานมาบินร่วมกับท่อนบูสเตอร์อย่าง Super Heavy แม้จะล้มเหลวอยู่หลายครั้งแต่สามารถปรับปรุงจนทำให้ตัวบูสเตอร์กลับมาลงจอดบนแขนคีบและตัวยานก็สามารถรอดจากการฝ่าเข้าสู่ชั้นบรรยากาศจนสามารถลงจอดในน้ำได้แล้ว แต่ก็กลับมาติดปัญหาอีกครั้งเมื่อไม่นานมานี้กับการปรับปรุงสถาปัตยกรรมใหม่อีกครั้งอย่าง Starship Block 2 ที่เรียกได้ว่าในส่วนของตัวยานนั้นล้มไม่เป็นท่า ทั้งการที่ไม่สามารถไต่ไปยังวงโคจรได้ ปัญหาระบบขับดันที่ไม่สามารถคุมให้ด้านเกราะกับความร้อนหันหาทิศที่ถูกต้องได้

ภาพถ่ายแสดงกระบวนท่าการกลับมาลงจอดของ Super Heavy บนหอคอยปล่อย ที่มา – SpaceX

โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเราได้รายงานความคืบหน้าการทดสอบตั้งแต่ เที่ยวบินทดสอบยาน Starship SN8 ตามมาด้วย การทดสอบยาน Starship SN9 จนถึงการบินครั้งแรกจริง ๆ อย่าง สรุปเที่ยวบินแรกของ Starship และ Super Heavy ต่อเนื่องมาจนถึง การทดสอบ Starship และ Super Heavy ครั้งที่สอง ซึ่งก็มาจนถึงการทดสอบล่าสุดอย่าง สรุปการทดสอบ Starship เที่ยวบิน 9 จรวดบินซ้ำสำเร็จ แต่ Starship ยังคงหมุนบนวงโคจร

หรือแม้แต่ล่าสุดในเดือนมิถุนายนก็ทำหนึ่งในยานที่เป็นรุ่น Block 2 ระเบิดคาฐาน เรียกได้ว่าค่อนข้างสาหัสกันพอสมควร แถมมันยังส่งผลกระทบต่อแผนการโดยรวมที่เกี่ยวข้องกับโครงการ Starship อีกด้วย ก็ได้แต่หวังว่าตัว Block 2 จะเป็นเพียงแค่การเล่นซนของวิศวกรที่เป็นการหาขีดจำกัดโดยรวมของตัวจรวดเพื่อนำไปเป็นข้อมูลในการพัฒนารุ่น Block 3 เหมือนสมัยที่ Flacon 9 v1.1 เป็นแค่รุ่นที่ถูกใช้ศึกษาความเป็นไปได้ต่าง ๆ ในการปรับปรุงให้กับจรวดรุ่นหลังจากนั้น

ที่บอกว่ากระทบกับแผนการที่เกี่ยวข้อง หนึ่งในโครงการที่อาจได้รับผลกระทบไปเต็ม ๆ คือโครงการ Human Landing System โครงการหาบริษัทเอกชนพัฒนายานอวกาศสำหรับการลงจอดบนดวงจันทร์รุ่นถัดไปภายใต้โครงการ Artemis โดยในโครงการนี้ SpaceX เลือกที่จะนำยาน Starship มาดัดแปลงเป็นยานสำหรับลงจอดบรดวงจันทร์โดยเฉพาะ โดยการดัดแปลงนี้จะทำให้ตัวยานไม่มีฟังก์ชันในการฝ่าเข้าชั้นบรรยากาศเพราะตัวยานจะไม่มีเกราะกันความร้อนและ Control surface สำหรับควบคุมทิศทางในการร่อนในอากาศ โดยแม้ความล้มเหลวของ Block 2 จะมีอยู่ให้เห็นชัดเจน แต่ระหว่างนั้นเอง SpaceX และ NASA ก็ได้ร่วมมือกันออกแบบส่วนภายในของยาน Starship ที่จะใช้ลงจอดบนดวงจันทร์อยู่เรื่อย ๆ

Human Landing System การใช้ยานอวกาศเอกชนลงจอดบนดวงจันทร์ ที่มา – SpaceX

และอีกส่วนที่ได้รับผลกระทบคือโครงการ Starlink เพราะหลังจากที่ Starlink เริ่มให้ผลประกอบการในส่วนของดาวเทียมที่ใช้ในโครงการ ได้รับการพัฒนาให้มีความสมรรถนะที่มากขึ้นในชื่อรุ่น Starlink v2 แต่ก็ต้องแลกมาด้วยกับขนาดดาวเทียมที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งมันใหญ่เกินกว่าที่จะใช้จรวด Falcon 9 ส่ง ทำให้ SpaceX เลือกที่จะมองหา Starship มาเป็นระบบขนส่งใหม่สำหรับโครงการ Starlink แทน แถมมันจะช่วยสร้างสถิติความน่าเชื่อถือในการทำยาน Human rated flight ไปในตัวด้วย แต่จากความล่าช้าของโครงการ Starship ทำให้ SpaceX เลือกที่จะพัฒนาดาวเทียมให้มีขนาดที่เล็กลงอย่าง Starlink v2 Mini เพื่อใช้แก้ขัดไปก่อน แม้จะสู้ศักยภาพของ v2 ขนาดปกติไม่ได้แต่มันก็สามารถถูกปล่อยโดยจรวด Falcon 9 ได้

เรียกได้ว่าหนทางของการทำให้ Starship อยู่ในระดับการใช้งานในเชิงพาณิชย์และพามุษย์ไปเยือนดาวอังคารได้ก็ยังอีกยาวไกล ก็ต้องรองติดตามไปพร้อมกันว่าโครงการนี้จะไปได้ไกลแค่ไหน

Space Boom การมาถึงของยุคสมัยใหม่

การมีอยู่ของ SpaceX ค่อนข้างกล้าพูดได้เลยว่าตลอดระยะเวลากว่า 60 ปีของกิจกรรมด้านอวกาศของมนุษย์ไม่เคยมีอะไรแบบนี้มาก่อน แม้ว่าไอเดียการนำจรวดกลับมาใช้ซ้ำจะมีมาให้เห็นตั้งแต่สมัยก่อนแล้วแต่กว่าจะทำได้จริงในระดับที่ยั่งยืนก็เพิ่งมามีในยุคของ SpaceX เนี่ยแหละ แถมมันยังเป็นสารตั้งต้นที่สำคัญให้กับธุรกิจด้านอวกาศในยุคหลังจากนั้นอีกด้วย

ก่อนหน้าที่จะมี SpaceX ในโลกนี้มีบริษัทอวกาศเอกชนที่ทำงานด้าน Space launch เพียงไม่กี่แห่งเท่านั้น แถมบริษัทที่สามารถผลักดันจนสามารถอยู่ในระดับการให้บริการเชิงพาณิชย์ได้ก็คงจะมีเพียงแค่ Arianespace จากฝรั่งเศสเท่านั้น แต่หลังจากความสำเร็จ ส่วนในช่วงเวลาที่ไล่เลี่ยกับการก่อตั้ง SpaceX ก็มีเพียงแค่ Blue Origin ที่ถูกก่อตั้งมาก่อนหน้าเพียงไม่กี่ปี และหลังจากนั้นไม่กี่ปี Rocket Lab ก็ถูกก่อตั้งขึ้น ซึ่งบริษัททั้งสองแห่งไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับการก่อตั้งของ SpaceX หรือแม้แต่ Musk

จนถึงทุกวันนี้ Falcon 9 ก็ยังคงเป็นจรวดที่ทำสถิติการนำส่ง Payload ขึ้นสู่อวกาศได้เยอะและถี่ที่สุดในแบบที่ยังไม่มีใครเทียบได้ ที่มา – SpaceX

แต่จุดเปลี่ยนที่สำคัญของอุตสาหกรรม Space launch คงมาจากจุดที่ SpaceX สามารถนำจรวดกลับมาลงจอดจนสามารถนำจรวดกลับมาบินใหม่ได้ แสดงให้เห็นว่าอวกาศต่อจากนี้จะกลายเป็นของที่มีราคาถูกลง เข้าถึงได้ง่ายขึ้น และยิ่งด้วยอะไรที่มันเข้าถึงได้ง่าย ๆ และมีราคาถูกก็ยิ่งเป็นที่ชื่นชอบกับธุรกิจที่มีความเกี่ยวข้อง และมีหรือที่จะไม่มีคนอยากกระโดดลงมาเล่นด้วย หลังจากนั้นไม่นานในสหรัฐฯ ในยุค 2010 เราจะเริ่มเห็นการประกาศก่อตั้งบริษัทที่จะทำเกี่ยวกับงานด้าน Space launch กันมากขึ้นก่อนที่ต่อมาจะเริ่มลามไปยุโรป จนมาถึงจีนและญี่ปุ่น แสดงให้เห็นว่าโมเดลธุกรกิจ Logistic ไม่ว่าจะตลาดไหน คนก็ยังหวังของคุณภาพที่มีราคาที่จับต้องได้ และการทำ Space Launch ก็ดูจะยังมีช่องว่างให้คนเข้าไปหาผลประโยชน์กันอยู่ ไม่งั้นเราคงไม่เห็นบริษัทอวกาศผุดกันเป็นดอกเห็ดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา

และจรวดท่อนแรก Falcon 9 เองก็ยังคงเป็นหนึ่งเดียวที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้อย่างเต็มระบบและทำกำไรมหาศาล ที่มา – SpaceX

แน่นอนว่าการทำให้การส่งของขึ้นสู่อวกาศมีราคาที่ถูกลงจนนำไปสู่การมีบริษัทมากมายถูกก่อตั้งขึ้น ก็ส่งผลให้มีการแข่งขันเกิดขึ้น ซึ่งเอาจริง ๆ เลยนะ มันเป็นผลดีอย่างมากต่อเหล่าผู้บริโภค เพราะการมีค่าขนส่งถูก พวกกลุ่มคนที่มีเงินทุนไม่มากสามารถส่ง Payload และดาวเทียมของตัวเองสู่อวกาศ โดยเฉพาะกับในระดับโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยที่ไม่ได้มีเงินที่มากพอผลาญไปกับการส่งของสู่อวกาศ มาในยุคนี้ก็สามารถส่งกันได้แล้วแถมทำได้ง่ายกันมากขึ้นด้วย ทำให้การทำอะไรบางอย่างให้เข้าถึงง่าย ๆ ก็สามารถส่งผลดีในระดับการศึกษาได้ไปในตัว แถมยิ่งในยุคนี้ที่อุปกรณ์ Electronics และ Avionics มีขนาดที่เล็กและเบาลงแล้วก็ยิ่งทำให้การสร้างดาวเทียมในระดับโรงเรียนทำได้ง่ายขึ้นอีก

การผลิตจรวดและยานอวกาศในระดับ Production ของ SpaceX ยังถือว่าเป็นความก้าวหน้าอย่างมากของวงการอวกาศ ที่มา – SpaceX

นอกจากการทำให้อวกาศกลายเป็นของที่เข้าถึงได้ง่ายแล้ว มันก็ก่อให้เกิดธุรกิจรูปแบบใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานด้านอวกาศกันมากขึ้น อย่างในปัจจุบัน เริ่มมีความนิยมในการทำดาวเทียมขนาดเล็กกัน ทำให้เหล่าผู้ให้บริการส่งจรวดต้องมีตัวเลือกส่งของแบบ Rideshare ที่เอาดาวเทียมเล็ก ๆ จากลูกค้าหลายรายปล่อยสู่อวกาศพร้อมกัน แต่มันก็ยังมีข้อจำกัดในเรื่องของการที่การบินครั้งนึงไม่สามารถส่งของไปยังวงโคจรได้หลากหลายมากพอเมื่อเทียบกับความหลักหลายของ Payload ทำให้เริ่มมีบริษัทอวกาศรายเล็กบางส่วนหัวใสหาผลประโยชน์จากข้อจำกัดตรงนี้ด้วยการพัฒนา Space tug ซึ่งจะเป็นท่อนจรวดขนาดเล็กติดอยู่บนจรวดหลักอีกที พอจรวดถูกปล่อยถึงวงโคจร ท่อนจรวดเล็ก ๆ พวกนี้ก็จะแยกตัวจากจรวดหลัก พา Payload ไปยังวงโคจรที่ท่อนจรวดหลักไม่สามารถทำได้ในภารกิจนั้น ซึ่งก็สร้างเงินได้เป็นกอบเป็นกำเป็นรางวัลให้กับความคิดสุดหัวใสของบริษัทเหล่านี้ นอกจากนี้ยังมีธุรกิจอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นมาในยุคนี้ด้วยเช่นกัน

หากไม่มี SpaceX กิจกรรมด้านอวกาศคงแตกต่างจากที่เราเห็นกันอยู่ในทุกวันนี้แน่ ๆ ก็ต้องยอมใจเหล่าวิศวกรที่ยอมกัดฟันวัดดวงกับภารกิจที่สี่ของจรวด Falcon 1 จริง ๆ

เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co

19 y/o Just mechanical engineering student, hobbyist illustrator || เด็กวิศวะหัดเขียนเรื่องราวในโลกของวิศวกรรมการบินอวกาศ