ในโครงการ Apollo เราจะเห็นนักบินอวกาศขับรถยนต์ขนาดเล็กบนพื้นผิวของดวงจันทร์เพื่อเพิ่มระยะการสำรวจและการขนส่งของ ในโครงการ Artemis เราก็จำเป็นต้องใช้รถในลักษณะดังกล่าวเช่นกัน โดยเราเรียกรถประเภทนี้ว่า Lunar Terrain Vehicle หรือ LTV ซึ่งก็คล้ายกับการว่าจ้างเอกชนในการผลิตยานลงจอด (Human Landing System) หรือการว่าจ้างบริษัทเอกชนนำส่งสิ่งของลงบนพื้นผิวดวงจันทร์ (Commercial Lunar Payload Service) ในการพัฒนารถสำหรับวิ่งบนพื้นผิวดวงจันทร์ NASA ก็ใช้วิธีให้เอกชนเป็นผู้พัฒนาเช่นกัน
ในวันที่ 4 เมษายน 2024 NASA ได้ประกาศรายชื่อ 3 บริษัท ที่จะเป็นผู้ผลิตรถ LTV สำหรับการวิ่งบนผิวดวงจันทร์ ซึ่งรายชื่อของบริษัททั้งสามก็ได้แก่ Intuitive Machines, Lunar Outpost และ Venturi Astrolab
NASA Selects Companies to Advance Moon Mobility for Artemis Missions
บริษัท Intuitive Machines เราน่าจะคุ้นชื่อกันดีแล้วจากผลงานยานอวกาศ Nova-C ซึ่งได้กลายเป็นยานอวกาศลำแรกที่ลงจอดบนผิวดวงจันทร์จากฝั่งสหรัฐฯ นับตั้งแต่ภารกิจ Apollo 17 กว่าครึ่งทศวรรษก่อน โดย Nova-C ได้พัฒนาแนวคิด LTV มาพอสมควรควบคู่ไปกับการพัฒนายานอวกาศในลักษณะยานลงจอด ซึ่ง Intuitive Machines ได้ตั้งชื่อรถของตัวเองเอาไว้ว่า Moon Racer
ในขณะที่บริษัท Lunar Outpost เป็นบริษัทอวกาศมากมีฝือที่ร่วมทำงานกับพาร์ทเนอร์ตั้งแต่ Lockheed Martin, General Motors ในการออกแบบและพัฒนา LTV ซึ่งมีกระบวนการที่ NASA สนใจ จนถูกได้รับเลือกในที่สุด โดยรถของ Lunar Outpost นั้นมีชื่อว่า Lunar Dawn ซึ่งเป็นรถไฟฟ้าขนาดใหญ่พร้อมส่วนบรรทุก ตัวล่อใช้วัสดุแบบ Shaped Memory Alloy ที่พัฒนาร่วมกับ Goodyear ทำให้มีน้ำหนักเบาและคงทนแข็งแรง สามารถชาร์จไฟฟ้าเพื่อใช้งานอย่างต่อเนื่องได้
และบริษัท Venturi Astrolab เป็นบริษัทผลิตรถไฟฟ้าที่หันมาพัฒนา LTV ขนาดเล็ก ที่มีแนวคิดแปลกใหม่คือให้นักบินอวกาศยืนขับ และตัวรถมีแขนกลคอยช่วยอำนวยความสะดวกต่าง ๆ โดยเฉพาะการเคลื่อนย้าย หรือประกอบโครงสร้างบนผิวดวงจันทร์ โดย LTV ของ Astrolab นั้นชื่อว่า The Lab ซึ่งพัฒนาต่อมาจาก Rover ที่กำลังจะไปลงจอดบนดวงจันทร์ในปี 2026 ที่ชื่อว่า FLEX
โดย The Lab ของ Astrolab นั้น นอกจากการใช้งานบนดวงจันทร์แล้วยังมีความเป็นไปได้ว่าจะถูกพัฒนาสานต่อในภารกิจที่ไกลยิ่งขึ้นเช่นการสำรวจดาวอังคารด้วยเช่นกัน ซึ่ง Astrolab เองก็ได้พัฒนาตัวรถต้นแบบสำเร็จแล้วและได้มีการนำออกมาทดสอบวิ่งจริง ๆ บนโลกแล้วด้วยเช่นกัน
โดยเราจะสังเกตว่า The Lab นั้น มีช่องว่างด้านหน้าอยู่ Astrolab บอกว่าที่ตรงนี้สามารถใช้ในการติดตั้งแบตเตอร์รี่เพิ่มเติมสำหรับเดินทางไกล หรือสามารถใช้เป็นที่เก็บ Payload ต่าง ๆ ได้ เช่น หากเราต้องการนำเอา Payload ไปวางไว้บนจุดต่าง ๆ บนผิวดวงจันทร์ ก็สามารถใช้แขนกลของยานในการหยิบออกมาจากส่วนบรรทุกไปวางได้ ถือว่าเป็นแนวคิดที่ฉลาดและน่าสนใจมาก
ส่วนสำหรับใครที่รอชม Cybertruck ก็ต้องบอกเลยว่า ไม่มี เพราะ SpaceX หรือ Tesla ไม่ได้ร่วมพัฒนาโครงการ LTV นี้ ดังนั้นเราจึงยังไม่น่าได้เห็น Cybertruck ไปวิ่งบนดวงจันทร์ในเร็ว ๆ นี้แน่นอน
โดยสำหรับการพัฒนา LTV นี้ NASA ได้กันงบรวมทั้งค่าทำวิจัยและค่าจ้างผลิตเอาไว้รวมกันสูงถึง 4,600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณหนึ่งแสนแปดหมื่นหกพันล้านบาท) ตลอดระยะเวลาในการพัฒนา ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้จะเข้ามามีบทบาทในการสำรวจดวงจันทร์ตั้งแต่ Artemis V (คาดว่าประมาณ 2028) จนถึงช่วงปี 2039 ซึ่งตอนนั้นการขึ้นลงระหว่างผิวดวงจันทร์กับสถานีอวกาศ Lunar Gateway น่าจะเป็นเรื่องปกติแล้ว
อีกหนึ่งโจทย์สำคัญของ NASA ในการพัฒนา LTV ก็คือ ระหว่างที่นักบินอวกาศไม่ได้อยู่บนผิวดวงจันทร์ LTV จะต้องสามารถทำงานผ่านการสั่งการระยะไกล (จาก Lunar Gateway หรือโลก) เพื่อให้การสำรวจดวงจันทร์เป็นไปอย่างต่อเนื่องได้ด้วย ทำให้ LTV นั้นแตกต่างจากรถสำรวจดวงจันทร์ในโครงการ Apollo อย่างมาก ที่สุดท้ายก็ถูกทิ้งเอาไว้บนผิวดวงจันทร์เมื่อภารกิจเสร็จสิ้น
และอีกข้อดีของ LTV ก็คือ LTV ไม่จำเป็นต้องถูกพับแล้วกางออกมาเหมือนกับในยุค Apollo เนื่องจากยาน Starship ของ SpaceX นั้นมีความสามารถมากพอที่จะนำส่งเอา Payload ขนาดใหญ่ลงสู่ผิวดวงจันทร์ได้โดยตรง ทำให้ในการออกแบบ LTV สามารถออกแบบตามโจทย์การใช้งานได้อย่างเต็มที่
โดยหลังจากนี้ NASA จะเริ่มต้นทำงานกับทั้ง 3 บริษัทเพื่อพัฒนา LTV ให้สามารถทันใช้จริงในภารกิจ Artemis V ซึ่งจะเป็นการนำนักบินอวกาศลงสู่พื้นผิวดวงจันทร์โดยมีการแวะพัก ณ Lunar Gateway และมีการนำส่ง Payload ขนาดใหญ่เพื่อทำวิจัยบนดวงจันทร์
เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co
