ทำไมการจัดให้อวกาศเป็นเรื่องลี้ลับ ถึงเป็นปัญหาในการสื่อสารวิทยาศาสตร์?

“คุณรู้ได้ไงว่ามนุษย์ไม่ได้อพยพมาจากดาวอังคาร” ชายคนหนึ่งโพล่งเสียงดังขึ้นมาถามผมบน Clubhouse ซึ่งเป็นสื่อโซเชียลมีเดียที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา “คุณเกิดไม่ทันสักหน่อย” ชายคนนั้นพูดด้วยอารมณ์หงุดหงิดต่อ เมื่อสิ้นเสียงเขา ผมจึงพยายามอธิบายเขาต่อว่าปัจจุบันเรายังไม่มีหลักฐานใด ๆ เกี่ยวกับซากอารยธรรมโบราณบนดาวอังคาร ประกอบกับทฤษฎีวิวัฒนาการของ ชาลล์ ดาร์วิน ว่ามนุษย์เราเคยมีบรรพบุรุษร่วมกันกับลิงมาก่อน มันจึงเป็นไม่ได้ที่มนุษย์จะถือกำเนิดขึ้นมาบนดาวอังคารและอพยพลงมายังโลกในภายหลัง

แต่ถึงอย่างไรก็ตามชายคนนั้นก็ไม่ฟังผมอยู่ดี พร้อมกับปฏิเสธอย่างแข็งขันด้วยหลักฐานที่ไม่มีแหล่งอ้างอิงที่น่าเชื่อถือได้แต่อย่างใด ซึ่งความน่ากลัวอยู่ที่ว่าเขาไม่ได้เป็นชายคนเดียวที่มีแนวความคิดในลักษณะนี้ เพราะตลอดช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาผมได้พบเจอคนหลากหลายที่เชื่อในเรื่องราวลึกลับต่าง ๆ มากมาย อย่างเช่น “รัฐบาลสหรัฐฯเคยจับเอเลี่ยนมาทดลองในแอเรีย 51” หรือแม้แต่ “เรื่องนาซ่าไม่เคยไปดวงจันทร์จริง” จนผมต้องออกมาเขียนบทความอธิบายเกี่ยวกับทฤษฎีสมคบคิด ว่าผู้คนมากมายทำไมถึงหลงเชื่อเรื่องราวเหล่านี้ได้ ทั้งที่ไม่หลักฐานเชิงประจักษ์ใด ๆ มารองรับ ซึ่งเป็นการเจาะลึกไปที่ตัวปัจเจกบุคคลไป แต่มันก็ไม่อาจครอบคลุมปัจจัยทั้งหมดของความเชื่อลักษณะนี้ได้

อ่าน – ทำไมยังมีคนเชื่อว่า NASA ไม่เคยไปดวงจันทร์ จิตวิทยาเบื้องหลังทฤษฎีสมคบคิด

ธงชาติสหรัฐฯของภารกิจอะพอโล 11 ที่ติดตั้งเสาค้ำด้านบนเป็นพิเศษเพื่อให้ตัวธงคลี่ออก ที่มา NASA

การสนทนากับชายผู้เชื่อว่ามนุษย์อพยพมาจากดาวอังคารในครั้งนั้นจึงทำให้ผมหวนนึกถึง คำพูดของ คาร์ล เซแกน (Carl Sagan) นักดาราศาสตร์ชื่อดัง ทีไ่ด้เขียนไว้ในหนังสือ “โลกที่เต็มไปด้วยปีศาจ” ว่า “เราจะกล่าวโทษพวกเขาได้หรือที่พวกเขาเชื่อแบบนั้น เพราะข้อมูลและสื่อต่าง ๆ ที่พวกเขาเข้าถึงได้ต่างอุดมไปด้วยเรื่องราวเหล่านี้อยู่เต็มไปหมด” ตัวผู้เขียนเองจึงอยากพาผู้อ่านทุกคนหันมาสังเกตและวิเคราะห์สื่อดาราศาสตร์ในไทย ซึ่งหลัก ๆ แล้วอันดับแรกก็คงหนีไม่พ้นแชแนลอวกาศที่มีอยู่อย่างมากมายบน YouTube ที่เราก็จะค้นพบได้ว่าแทบไม่มีความเป็นวิทยาศาสตร์ที่แท้จริงอยู่ในนั้นเลย

หากเราลองมาดูตัวอย่างการค้นหาบน YouTube ด้วยคีย์เวิร์ดคำว่า “มนุษย์มาจากดาวอังคาร” เราก็จะค้นพบได้ว่ามีวิดีโอมากกว่า 10 คลิปที่มียอดรับชมไม่ต่ำกว่า 1 แสนครั้ง ในขณะที่บางคลิปแตะ 1 ล้านไปแล้วด้วยซ้ำ โดยที่คลิปวีดีโอส่วนใหญ่มักพยายามนำหลักฐานและข้อมูลต่าง ๆ ที่ถูกหักล้างไปแล้ว มาทำให้กลายเป็นเรื่องน่าสนใจขึ้นอีกครั้ง โดยอาศัยการนำพื้นฐานของคนไทยที่มีความเชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติเป็นทุนเดิมเข้ามาผสม จึงทำให้เรื่องราวดาราศาสตร์กลับกลายเป็นเรื่องราวลึกลับที่น่าตื่นตาตื่นใจ ในขณะที่ความน่าทึ่งของการสำรวจอวกาศได้ถูกลบออกไป

ภาพถ่ายหน้ามนุษย์บนดาวอังคารที่มีชื่อเสียงแท้จริงแล้วก็เป็นแค่เนินเขาธรรมดา ที่มา NASA

เมื่อดาราศาสตร์กลายเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติไปแล้ว อะไรกันที่จะเป็นเหตุเป็นผลอยู่ได้อีกเล่า เพราะผู้คนล้วนมหัศจรรย์ใจและปักใจเชื่อกับเรื่องต้นกำเนิดของมนุษย์บนดาวอังคารไปหมดแล้ว หลักฐานอื่น ๆ อย่างทฤษฎีวิวัฒนาการที่มนุษย์สั่งสมมาเป็นเวลาหลายร้อยปีก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป ทั้งที่พวกเขาสามารถตรวจสอบความจริงได้ด้วยปลายนิ้ว แต่ในเมื่อเรื่องราวเหล่านี้กลายเป็นความเชื่อ มันก็ยากที่จะเปลี่ยนความคิดได้

อีกทั้งสื่อไทยในลักษณะของ “อวกาศแสนลึกลับ” นี้ก็ไม่ได้มีอยู่แต่บนหน้าอินเทอร์เน็ตเพียงเท่านั้น แต่ยังอยู่ไปทั่วร้านหนังสืออีกด้วย ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างมากเพราะอะไรก็ตามที่ผ่านสำนักพิมพ์มาวางในร้านหนังสือชื่อดังก็จะได้รับความไว้วางใจจากผู้คนจำนวนมาก โดยที่หนึ่งในหนังสือที่ไม่ว่าจะจัดอยู่ในหมวดวิทย์ได้ แต่กลับมีคนสนใจอย่างล้นหลามก็คงจะเป็นหนังสือที่พยายามจับอวกาศมาชนกับพระไตรปิฎกอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย จนดูเหมือนเป็นนิยายวิทยาศาสตร์เสียมากกว่า อย่างคำกล่าวที่ว่า “จิตเร็วกว่าแสง”

จนทำให้นักฟิสิกส์หลายคนต่างต้องอ้าปากค้างกับสมมติฐานนี้ ซึ่งไม่ใช่เพราะความน่าทึ่งแต่เป็นความกระอักกระอ่วนเสียมากกว่า เพราะว่าการที่เราเห็นภาพต่าง ๆ ในหัว เช่น ดาวพฤหัสฯ จิตเราก็ไม่ได้เดินทางไปดาวพฤหัสฯจริง ๆ แต่เป็นแค่การเคลื่อนที่ของสัญญาณทางไฟฟ้าระหว่างเซลล์ประสาทในสมองเท่านั้น ซึ่งเราสามารถใช้เครื่องมือวัดความเร็วเฉลี่ยได้ที่ 70-120 เมตร ต่อวินาที ในขณะที่แสงเดินทางด้วยความเร็วประมาณ 3 แสนกิโลเมตรต่อวินาที แต่อย่างไรก็ตามเราก็ยังพบเห็นเรื่องราวของจิตไวกว่าแสงอยู่เต็มหน้าอินเตอร์เน็ตอยู่ดีเพราะมันได้กลายเป็นความเชื่อที่ฝังลึกไปแล้ว ไม่ต่างอะไรกับกรณีของมนุษย์ดาวอังคารที่ต่างไปข้างต้น นอกเสียจากมีการนำองค์ประกอบของศาสนาเข้าไปยึดโยงจึงยิ่งทำให้ตัวหนังสือมีความน่าเชื่อถือสูงในสายตาคนไทยมากขึ้นไปอีก

อารยธรรมมนุษย์บนดาวอังคารจากภาพยนตร์เรื่อง John Carter

ซึ่งเราก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าสื่อประเภทนี้ทั้งหมด มันก็ได้ช่วยให้ผู้คนมหาศาลหันมาสนใจเรื่องอวกาศมากขึ้นกว่าเดิม และก็เป็นสิทธิเสรีภาพของแต่ละคนที่จะอ่านเรื่องราวเหล่านั้น แต่จะดีกว่าไหมถ้าพวกเขาได้ลิ้มรสวิทยาศาสตร์ที่แท้จริง พวกเขาจะทึ่งและตื่นเต้นมากแค่ไหนที่ได้รู้ว่าการสูญพันธ์ครั้งแรกของโลกเกิดจากที่มีแก๊สออกซิเจนในชั้นบรรยากาศมากเกินไป หรือแม้แต่การทำงานของรหัสพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตบนโลกที่สามารถส่งข้อมูลต่อไปยังรุ่นสู่รุ่นมาได้ยาวนานกว่า 4 พันล้านปี แต่ช่างน่าเศร้าที่เรื่องพวกนี้ไม่ได้รับการกระจายไปอย่างแพร่หลายเท่าที่ควร

เรียกได้ว่าในยุคสมัยนี้เรากำลังตกอยู่ในโลกที่มีข่าวสารและข้อมูลอยู่อย่างล้นหลามเต็มไปหมด จนยากที่จะแยกว่าเรื่องใดคือเรื่องจริงหรือเรื่องเท็จ ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องดาราศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์แต่ยังรวมไปถึงข้อมูลข่าวสารทางการเมือง ฯลฯ อีกมากมาย ดังนั้นทักษะด้านความรู้เท่าทันสื่อจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก จงอย่าลืมว่าการสร้างเรื่องราวลึกลับที่น่าเหลือเชื่อโดยปราศจากข้อเท็จจริงย่อมสร้างผลกำไรให้กับผู้คนบางกลุ่มอยู่เสมอ ในขณะที่เราได้แต่หวังสื่อไทยจะปรับตัวไปในทางที่ดีขึ้นและเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน

“มันง่ายกว่าที่จะหลอกคนอื่น มากกว่าการที่ทำให้คนอื่นเชื่อว่าพวกเขากำลังถูกหลอก”

มาร์ค เทวน นักเขียนหนังสือชาวอเมริกัน

อ่าน – ทำไมยังมีคนเชื่อว่า NASA ไม่เคยไปดวงจันทร์ จิตวิทยาเบื้องหลังทฤษฎีสมคบคิด

เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co

Mostly being a space-nerd who dreamt to work at NASA, but now a 21 years old Film Student dedicating to generalize space communication.