เป็นเวลากว่า 7 เดือนหลังจากที่การทดสอบจรวด Super Heavy และยานอวกาศ Starship ของ SpaceX ในเดือนเมษายน 2023 จบลงด้วยการกลายเป็นการแสดงพลุราคาแพงบนท้องฟ้าทางตอนใต้ของชายฝั่งเท็กซัส เนื่องจากตัวจรวดเสียการควบคุมในขณะบินขึ้นก่อนที่จะหักเป็นสองท่อนในที่สุด จนอาจทำให้เราสงสัยว่า SpaceX ซึ่งปัจจุบันเป็นบริษัทหนึ่งเดียวที่ได้รับสัญญาการว่าจ้าง นำนักบินอวกาศลงจอดบนดวงจันทร์ในโครงการ Artemis III ที่ถูกเลื่อนมาหลายต่อหลายครั้งนั้น จะพัฒนาจรวด Starship และ Super Heavy ให้บินขึ้นสู่อวกาศจริง ๆ ได้เมื่อไหร่
อย่างไรก็ตามในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน 2023 SpaceX ก็ได้ออกมาประกาศว่าพวกเขาได้รับไฟเขียวจาก FAA หรือองค์การบริหารการบินแห่งชาติสหรัฐฯ ให้สามารถทดสอบ Starship และ Super Heavy ได้อีกครั้ง หลังจากที่ SpaceX ต้องรออนุมัติเป็นเวลานานพอสมควรหลังจากที่ได้มีการออกมากล่าวก่อนว่าพวกเขาพร้อมสำหรับการกลับมาบินอีกครั้ง โดยกำหนดวันทดสอบที่ประกาศ จะเป็นวันที่ 17 พฤศจิกายน 2023 นี้ โดยเหลือเพียงการรออนุมัติในขั้นสุดท้ายเท่านั้น (ข้อมูลวันที่ 12 พฤศจิกายน 2023)
เรียกได้ว่ากรณีดังกล่าว แสดงความพร้อมของ SpaceX ในการทดสอบ Starship ต่อเป็นอย่างมาก ซึ่งปัจจุบันจรวด Super Heavy หมายเลข B9 และยาน Starship หมายเลข S25 ได้ถูกติดตั้งรอ ณ ฐานปล่อยที่ Starbase ของ SpaceX เรียบร้อยแล้ว โดยการทดสอบจะเป็นการทดสอบใกล้เคียงกับครั้งก่อน คือการโคจรรอบรอบโลกแบบไม่ครบวงโคจร แต่จะลงจอดบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก นอกชายฝั่งฮายวายแทน
ในเว็บไซต์ ได้ระบุขั้นตอนการปล่อย ไว้ตั้งแต่ 2 ชั่วโมงก่อนการปล่อย จะมีการเติมเชื้อเพลิงเข้าสู่ตัวจรวด โดยจะเริ่มการเติมจากตัว Super Heavy ก่อน แล้วถึงเติมยาน Starship ก่อนที่ 19 นาทีก่อนการปล่อย จะเริ่มเข้าสู่กระบวนการทำ Engine Chill หรือปรับอุณหภูมิ ความดัน ของระบบจรวดเพื่อเริ่มการปล่อย ก่อนที่ 3 วินาทีก่อนการปล่อย เครื่องยนต์ทั้ง 33 ตัวของ Super Heavy จะถูกจุดขึ้นและนำพาจรวดขนาดยักษ์ลำนี้เดินทางขึ้นสู่ท้องฟ้า
หลังจากการปล่อย 2 นาที 41 วินาที ตัวยาน Starship จะแยกตัวออกจาก Super Heavy ด้วยวิธีการแบบ Hot Stagging คือการจุดเครื่องยนต์เพื่อแยกตัวตั้งแต่ตัวจรวดยังไม่แยกออกจากกันดี (ซึ่งจะนำมาใช้กับเที่ยวบินนี้ครั้งแรก) หลังจากนั้น Super Heavy จะลงจอดบนผิวน้ำเหนืออ่าวเม็กซิโก ด้วยการทำ Propulsive Landing หรือการใช้เครื่องยนต์ช่วยชะลอตัวลงจอด แต่จะไม่มีการนำเอาเรือ DroneShip มาเก็บกู้เหมือนกับ Falcon 9 หรือ Falcon Heavy
ในขณะที่ Starship นั้นจะติดเครื่องยนต์ตั้งแต่นาทีที่ 2 นาที 41 วินาที จากการปล่อย ไปจนถึงนาทีที่ 8 นาที 33 วินาที รวมระยะเวลาประมาณ 6 นาที ก่อนที่จะดับเครื่องและโคจรเหนือผิวโลกไม่เกิน 233 กิโลเมตร
1 ชั่วโมง 17 นาทีหลังจากนั้น Starship จะโคจรอยู่เหนือมหาสมุทรแปซิฟิกพอดี และเริ่มตกกลับสู่ชั้นบรรยากาศ ก่อนที่จะลงจอดบนผิวน้ำในที่สุด รวมระยะเวลาในการบินตั้งแต่วินาทีแรกทั้งสิ้น 1 ชั่วโมง 30 นาที
นอกจากการทำ Hot Stage ที่เป็นสิ่งใหม่แล้ว SpaceX ได้ระบุบนเว็บไซต์ว่า ในการทดสอบครั้งนี้จะเป็นการนำเอาระบบการควบคุมทิศทางของเครื่องยนต์จรวด หรือ Thrust Vector Control (TVC) แบบใหม่มาใช้ โดยระบบ TVC ใหม่นี้จะใช้เป็นเซอร์โวไฟฟ้า (Electrict Servo) แทนกลไกแบบไฮดรอลิกเดิมที่ใช้ในเที่ยวบินก่อน ซึ่งจะทำให้มีโอกาสผิดพลาดน้อยกว่า แถมยังประหยัดพลังงานมากกว่าด้วย
เตือนความจำกันอีกครั้งว่า นี่จะเป็นการทดสอบจรวดที่ทรงพลังที่สุดในโลก โดยจรวด Super Heavy มีเครื่องยนต์ที่ชื่อว่า Raptor Engine จำนวน 33 เครื่องยนต์ ใช้เชื้อเพลิงแบบออกซิเจนเหลว (Liquid Oxygen) และมีเทนเหลว (Liquid Methane) มีความสูง 69 เมตร ในขณะที่ Starship มีความสูง 50 เมตร สามารถบรรทุก Payload ได้ถึง 100 – 150 ตัน และปรับให้โดยสารกันได้มากถึง 100 ที่นั่ง ทั้งสองประกอบเข้าด้วยกันกลายเป็นจรวดที่ทรงพลังที่สุดในโลก มีความสูงรวมกันกว่า 119 เมตร น้ำหนักรวมกว่า 5,000 ตัน และสร้างแรงขับถึง 74 ล้านนิวตัน มากกว่าจรวด Falcon Heavy กว่า 3 เท่า
ซึ่งการทดสอบดังกล่างหากสำหรับ จะทำให้นับได้ว่า นี่เป็นการขึ้นบินพร้อมกันระหว่าง Super Heavy และ Starship เต็มรูปแบบครั้งแรก หากเราไม่นับครั้งก่อนที่ขึ้นบินได้ก่อนแต่ภารกิจล้มเหลวไป
เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co