ในอดีต มนุษย์มองขึ้นไปบนท้องฟ้า พวกเขาเห็นกลุ่มก้อนของดวงดาวสีขาวพาดผ่านจากทิศหนึ่งสู่อีกทิศหนึ่ง ลักษณะปรากฏของมันแตกต่างจากกลุ่มดาวอื่น ๆ ที่ปรากฏทั่วไปบนท้องฟ้า ในแต่ละที่บนโลก การปรากฏของกลุ่มดาวสีขาวพาดผ่านนี้แตกต่างกัน แม้ในตอนนี้เราจะรู้ว่าแถบสีขาวนี้คือศูนย์กลางของดาราจักรที่อยู่ห่างออกจากระบบสุริยะของเราไปกว่าหนึ่งแสนปีแสง เป็นเหตุที่ทำให้เราเห็นศูนย์กลางของดาราจักรได้ ดวงอาทิตย์และระบบสุริยะของเรา เป็นแค่หนึ่งในระบบดาวที่โคจรรอบศูนย์กลางนี้ราวกับมหานทีดาวอันกว้างใหญ่ไพศาล
ด้วยเรื่องราวและความเชื่อที่แตกต่างกันในแต่ละวัฒนธรรม มนุษย์ได้รับอิทธิพลในการเรียกวัตถุแตกต่างกันออกไป และยิ่งการที่พวกเขาเห็นสิ่งเดียวกันแล้วตีความกันคนละอย่างก็ยิ่งแสดงถึงวิธีคิดที่มีมานาน เนื่องจากสิ่งนี้ปรากฏให้เห็นมานานแสนนานก่อนที่มนุษย์จะถือกำเนิดขึ้นซะอีก ไม่เหมือนกับอาหาร, พืชผล หรือสัตว์ ที่บางส่วนเกิดจากการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับวัฒนธรรมอื่น ท้องฟ้าและดวงดาว จึงเป็นตัวแทนที่ใช้ในการอธิบายวิธีคิดของมนุษย์ในอดีตได้เป็นอย่างดีเสมอมา
ทางช้างเผือก และคลองฟ้า
ชื่อที่คนไทยเราทุกคนคุ้นเค
แต่บางบันทึกพบว่า เมื่อก่อนคนไทยเราเรียกทางช้างเผือกว่า “คลองฟ้า” หรือ “คลองช้าง” หรือ “คลองช้างเผือก” คำว่าทางช้างเผือกนี้เพิ่งมีใช้ทีหลัง
สมัยอยุธยา พระราชพงศาวดารกรุงสยามฉบับบริติชมิวเซียม บันทึกในวันสวรรคต ของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ มีปรากฏบันทึกว่า “ณ วันแรม ๒ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีฉลู นพศก กลางคืนลมว่าวพัดหนัก พระมหาธาตุซึ่งเป็นหลักอัครโพธิ โทรมลงทลาย ทั้งอากาศสำแดงร้ายอาเพท ประทุมเกศตกต้องมหาธนูลำพู่กัน หนึ่งดวงดาวก็เข้าในดวงจันทร์ ทั้งดาวหาง คลองช้างเผือก ประชาชนก็เย็นยะเยือกทั้งพระนคร ด้วยเทพยเจ้าสังหรณ์หากให้เห็น ด้วยพระองค์เป็นหลักชัย ในกรุงพระมหานครศรีอยุธยา”
นอกจากนี้ในหนังสือ โองการแช่งน้ำและข้อคิดใหม่ในประวัติศาสตร์ เขียนโดย จิตร ภูมิศักดิ์ ยังได้มีการวิเคราะห์ถึงลิลิตโองการแช่งน้ำ ว่ามีส่วนที่กล่าวถึง ทางช้างเผือกในชื่อ คลองฟ้า
เพิ่มเติมคือสำหรับดาวหางที่ปรากฏในสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ได้มีการบันทึกไว้ว่าคือ “หมอกธุมเกต” ซึ่งภายหลังมีการนำมาเปรียบเทียบปรากฏการณ์หมอกที่เกิดขึ้นในวันสวรรคตของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ซึ่งอาจเป็นการตีความที่ไม่ตรงกันเรื่องความหมายของคำว่า ธุมเกต
สำหรับในตำนานอื่น ๆ เว็บไซต์ Wikipedia ได้มีการรวบรวมเรื่องราวและตำนานที่น่าสนใจให้เราได้เข้าไปอ่านกัน
ทางวัวขาว ถนนฤดูหนาว ของชาวแสกดิเนเวียน
ชาวไอร์แลนด์มีตำนานที่ต่าง
กลุ่มประเทศสแกดินเวียเรียก
ทางฟางข้าว ทางนกบิน
ประเทศในกลุ่มเอเชียกลางและ
ภาษาฟินนิช Linnunrata ภาษาเอสโตเนีย Linnutee รวมถึงภาษาในประเทศแถบยุโรป
แม่น้ำสวรรค์ และแม่น้ำสีเงิน
จีนและญี่ปุ่นจะเรียกรอยนี้
มีเรื่องราวของตำนานที่กล่าวถึงดาว “Altair” และ “Vega” เมื่อเทียบกับชื่อที่เราเรียกกันทุกวันนี้ แต่ในตำนานของจีนและญี่ปุ่น คือเรื่องของหนุ่มเลี้ยงวัวและสาวทอผ้า Vega ได้หนีจากสวรรค์มาเผื่อแต่งงานกับ Altair ทำให้บิดาของนางไม่พอใจ ใช้ปิ่นปักผมลากผ่านท้องฟ้าเพื่อกั้นดาวทั้งคู่ไว้ไม่ให้ได้พบกัน เหมือนเป็นแม่น้ำสวรรค์ที่แบ่งแยกสองโลก จะมีเพียงวันเดียวที่ทั้งสองได้พบกัน เรารู้จักมันในชื่อของวันทานาบาตะ
ไม่ห่างออกไปจากจีนและญี่ปุ่น ชาวเกาหลี เวียดนาม ไต้หวัน และประเทศในแถบเอเชียจะเรีย
ทางน้ำนม ชื่อที่คุ้นเคยที่สุด และไร้ความโรแมนติกที่สุด
ตามที่ทุกคนทราบกัน ภาษากลุ่มละตินจะเรียกรอยสี
สำหรับเรื่องเล่าของชื่อทางน้ำนมนี้ เกิดขึ้นเมื่อ เฮราคลีส (หรือเฮอคิวลิส) ลูกของซุสที่เกิดกับมนุษย์ ไม่มีนมให้กินบนยอดเขาโอลิมปัส ซุสจึงพาไปกินนมของเทพีเฮรา ซึ่งตอนนั้นเฮราหลับอยู่ พอตื่นขึ้นมาเจอใครก็ไม่รู้มาดูดนมอยู่ก็เลยผลักเฮอคิวลิสทำให้นมกระเด็นออกไปเปื้อนท้องฟ้า (เอางี้จริงดิ)
ทั้งหมดนี้เราจะเห็นว่าภาษาและวัฒนธรรมมีผลแค่ไหนในการศึกษาธรรมชาติของมนุษย์ในขณะที่การจดบันทึกและการทดลองถ่ายทอดเรื่องราวต่าง ๆ ของธรรมชาติ ภาษาและวัฒนธรรมก็ทำหน้าที่ในการบันทึกและถ่ายทอดวิธีคิดและมุมมองของมนุษย์ต่อธรรมชาติ ดังนั้นหากจะถามว่าศาสตร์ใดสำคัญกว่ากันย่อมตอบไม่ได้ เนื่องจากเราถูกสร้างขึ้นมาบนพื้นฐานความนึกคิด ความรู้สึก และการมีองค์ความรู้ร่วม
จักรวาลในมุมมองขององค์ความรู้ร่วมนี้จึงมีความหมายมากกว่าที่มันเป็น หากจักรวาลถูกสร้างและคงอยู่ด้วยธรรมชาติ การแต่งแต้มเรื่องราวและสีสัน ก็คงเป็นหน้าที่ของมนุษย์เรา
เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co